หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

5 เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อน

อาการของโรคมะเร็งตับอ่อนและเมนูอาหารสำหรับผู้เป็นมะเร็งตับอ่อน
วิธีรักษาและลักษณะของโรคมะเร็งตับอ่อน
   เกรียงไกร อายุ 52 ปี ลาออกจากบริษัทเพราะอยากมีกิจการร้านอาหารของตัวเอง จึงไปลงเรียนทำอาหาร วันหนึ่ง
เกรียงไกรพาครอบครัวออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน และถือโอกาสสำรวจรสชาติอาหารตามร้านต่าง ๆ ไปด้วย หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ เขาเกิดอาการปวดท้อง แต่คิดว่าไม่เป็นไรเพราะอาจเกิดจากการรับประทานอาหารมากเกินไป หลายวันผ่านไปก็ยังมีอาการปวดท้องอยู่ แต่คราวนี้มีอาการแน่นร่วมด้วย เขาจึงรีบไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาลาล และก็พบว่าทุกอย่างปกติดี ไม่พบเนื้องอกและมะเร็งใด ๆ แต่พบว่ามีคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากเป็นคนชอบรับประทานอาหารไขมันสูงและดื่มเหล้าหลังอาหารทุกวัน
   หลังจากไปพบหมอ เกรียงไกรได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองใหม่ โดยวิ่งและออกกำลังกายทุกเช้า และเลิกบุหรี่ที่สูบมานานเกือบ 30 ปี จู่ ๆ ก็เกิดอาการปวดหลังขึ้นมาอีก แต่คิดไปว่าเป็นเพราะเริ่มออก
กำลังกายกะทันหันเกินไป เขาจึงให้ภรรยานวดหลัง อาการก็ดีขึ้น แล้ว 2 สัปดาห์ต่อมา อาการปวดท้องและแน่นท้องก็หายไป เขาเข้าใจว่า ร่างกายเริ่มแข็งแรงเป็นปกติแล้ว โดยไม่รู้ว่าโรคร้ายกำลังมาเยือน จวบจนครึ่งปี ด้วยความมานะพยายามทำให้เขาสามารถเปิดร้านอาหารได้สำเร็จและกำลังจะเปิดตัวในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าคืนก่อนเปิดร้าน กลางดึกเขาออกมาปัสสาวะและพบว่าสีปัสสาวะกลายเป็นสีช็อกโกแลต และหน้าเขาซีดเหลืองเห็นได้ชัด เกิดอะไรขึ้นกับเกรียงไกร?
 กลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งตับอ่อน
   มักเกิดกับคนที่มีอายุระหว่าง 60-70 ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และสามารถเกิดได้กับคนที่คิดว่าตัวเองแข็งแรง ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เนื่องจากโรคชนิดนี้เกิดจากการสะสมของสารพิษ และมลภาวะต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทำให้ตับอ่อนอักเสบ
 อาการที่พึงระวัง
 คนที่มีอาการปวดท้องบ่อย ๆ แต่ไม่รุนแรง และอยู่ ๆ อาการปวดท้องก็หายไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ หรือ
อยู่ ๆ ก็มีอาการปวดหลังกะทันหัน คนที่มีอาการดังกล่าวควรพึงระวัง เพราะนั่นเป็นอาการที่บ่งบอกเหตุของการเกิดโรคมะเร็งตับอ่อน
ลักษณะของโรคมะเร็งตับอ่อน
   ตับอ่อนเป็นอวัยวะอยู่หลังกระเพาะมีหน้าที่สร้างน้ำย่อย น้ำดี ตับอ่อนมีท่อต่อกับท่อรวมน้ำดีซึ่งไปเปิดที่ปลายกระเพาะอาหารต่อกับลำไส้เล็กส่วนต้น มีหน้าที่สร้างน้ำย่อยเพื่อใช้ในการย่อยและดูดซึมโปรตีนกับไขมัน
   มะเร็งตับอ่อนเกิดจากมีเนื้อมะเร็งขึ้นที่ตับอ่อน ซึ่งอยู่ด้านหลังของช่องท้องเป็นเนื้อมะเร็งที่ตรวจค้นหาได้ยากที่สุดชนิดหนึ่ง ไม่ทราบสาเหตุ ที่แน่ชัด แต่เกิดจากการสูบบุหรี่และดื่มจัดเป็นระยะเวลานาน มักพบในผู้ชายช่วงอายุ 50-70 ปี ที่ชอบรับประทานอาหารไขมันสูง
     ลักษณะอาการของมะเร็งตับอ่อนเกิดขึ้นเมื่อตับอ่อนทำงานหนัก มีอาการหลั่งน้ำย่อยและฮอร์โมนออกมา ขณะที่น้ำย่อยไหลออกมามาก มะเร็งจะก่อตัวขึ้นที่บริเวณท่อตับอ่อน หรือ Pancreatic duct มีอาการปวดท้องหรือแน่นท้องและปวดจากเซลล์มะเร็งที่โตขึ้น การไหลของน้ำย่อยถูกอุดกั้นไว้ในตับอ่อนทำให้ตับอ่อนบวม แต่อาการเจ็บปวดที่ไม่ได้รุนแรง ผู้ป่วยจึงไม่รู้ตัว และอาจตรวจไม่พบเซลล์มะเร็งในตับอ่อนเพราะตับอ่อนถูกห้อมล้อมไปด้วยอวัยวะอื่นๆ เช่น กระเพาะอาหารเป็นต้น ดังนั้น การตรวจร่างกายทั่วไปจึงไม่เห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น จนเมื่อมีอาการถ่ายปัสสาวะเหมือนช็อกโกแลตและหน้ามีสีเหลือง เนื่องจากเซลล์มะเร็งเจริญเติบโต จนไปปิดกั้นทางเดินน้ำดีที่ไหลผ่านตับอ่อน ทำให้น้ำดีไหลย้อนกลับออกไปนอกท่อและเข้าสู่กระแสเลือดไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
มะเร็งตับอ่อนถือว่าเป็นโรคที่พัฒนาไปอย่างช้า ๆ กว่าจะพบว่าเป็นโรคก็สายไปเสียแล้ว อาการของคนที่เป็นโรคมะเร็งตับอ่อน เช่น น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ร่างกายซูบผอม เบื่ออาหาร ปวดท้องบ่อยๆ กินยาก็ไม่หาย ซึ่งอาจจะไม่ใช่อาการของมะเร็งตับอ่อน แต่อาจเป็นโรคอื่น เช่น กระเพาะอาหารมะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งหมอจะเป็นผู้วิเคราะห์โรคเอง แม้ว่ามะเร็งตับอ่อนจะเป็นโรคร้ายแรงและอันตราย แต่ถ้าเรารู้ตัวก่อนก็จะสามารถป้องกันและรักษาได้อย่างทันท่วงที
     ***มะเร็งก่อตัวที่บริเวณท่อ Pancreatic duct ซึ่งเกิดจากการหลั่งน้ำย่อยและฮอร์โมนออกมามาก ๆ เพื่อย่อยไขมัน***
     ***มะเร็งเจริญขึ้นจนไปอุดตันการไหลของน้ำย่อย ตับอ่อนจะบวมขึ้น ทำให้มีอาการปวดท้องและปวดหลัง***
     ***ถุงน้ำดีโตเพราะเซลล์มะเร็งไปปิดกั้นทางเดินของน้ำดีที่ไหลผ่านตับอ่อน***
 วิธีการรักษาโรคมะเร็งตับอ่อน
   หากตรวจพบ หมอจะประเมินว่าอยู่ในวิสัยที่สามารถตัดออกได้หรือไม่ ซึ่งการผ่าตัดเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด แม้มะเร็งตับอ่อนจะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งเต้านม แต่ก็เป็นมะเร็งที่มีฤทธิ์ร้ายแรงมาก หากวินิจฉัยช้า โอกาสในการผ่าตัดรักษาก็จะยิ่งยุ่งยากมากขึ้น
 รู้ไว้ ไกลโรค
   ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งตับอ่อนหรือมะเร็งชนิดใด ๆ ก็ตาม ล้วนเป็นโรคร้ายแรง ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการป้องกัน โดยไม่นำสารพิษ เช่น เหล้า บุหรี่ เข้าสู่ร่างกาย หลีกเลี่ยงยาฆ่าแมลง รับประทานผัก ผลไม้ และอาหารที่อุดมด้วยวิตามินให้ครบส่วนและเมื่อรู้ตัวว่าเป็นโรคจะต้องปฏิบัติตัวตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด และคนในครอบครัวควรให้การดูแลและเป็นกำลังใจสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้ป่วยสามารถต่อสู้กับโรคร้ายต่อไปได้
แพทย์ผู้ให้ข้อมูล : ผศ.นพ.ธัญเดช นิมมานวุฒิพงษ์ แพทย์หัวหน้าศูนย์ศัลยกรรม เทคโนโลยีชั้นสูง (ASIT) โรงพยาบาลพญาไท 3
อาหารแนะนำสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ก่อนเริ่มการรักษา
  • อาหารประเภทผัก ผลไม้ เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานสะสม
  • ผลิตภัณฑ์ที่ทำจาก Whole grain
  • เนื้อสัตว์หรือนมที่มีไขมันต่ำ
  • งดอาหารประเภทไขมันสูง น้ำตาล เหล้า อาหารเค็มจัด
ตัวอย่างเมนูอาหารเช่น
  1. นมไขมันต่ำ
  2. ไข่ดาว ต้ม ลวก
  3. โจ๊กหมูสับ ใส่ไข่
  4. ข้าวผัดปูแครอท
  5. ซุป ชนิดต่างๆ เช่น ซุปข้าวโพด ฟักทอง เห็ด
  6. ผักผัด
  7. ผลไม้ เช่น ส้ม ชมพู่ แอปเปิล ฝรั่ง สัปปะรด
  8. ลูกเดือย ถั่วเขียวต้ม
  9. แซนวิช หรือแครกเกอร์
  10. ไอศกรีมเชอเบท
แหล่งข้อมูล : http://foodforhealthguide.blogspot.com
..................................................................................................................

เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อน
1.ข้าวผัดปูแครอท
สูตรข้าวผัดปู ความอร่อยที่ไม่ธรรมดา
ส่วนประกอบ
1.ข้าวกล้องสวย  2  ถ้วย
2.เนื้อปูทะเลต้มแกะแล้ว  1   ตัว
3.แครอทหั่นฝอยถ้วย  ½  ถ้วย
4.เมล็ดถั่วลันเตา  1   ช้อนโต๊ะ
5.ซอสถั่วเหลือง  1 ช้อนโต๊ะ
6.น้ำมันหอย 1  ช้อนโต๊ะ
7.ไข่ไก่ 1   ฟอง
8.ซีอิ้วขาว  1  ช้อนโต๊ะ
9.น้ำมันพืช   1  ช้อนโต๊ะ
10.แตงกวาหั่นเป็นแว่น  1  ผล
11.กระเทียมสับ 1  หัว
12.ต้นหอม ผักชี พริกไทยป่น
วิธีทำ
  1. นำกระทะขึ้นตั้งบนเตา ใส่น้ำมันพืช พอร้อนใส่กระเทียม สับเจียวพอหอม ใส่เนื้อปูที่แกะแล้ว ใส่ข้าว แครอท เมล็ดถั่วลันเตา ผัดให้สุกทั่วกัน ปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊วขาว
  2. แหวกข้าวผัดที่กันกระทะ ตอกไข่ไก่ใส่ละเลงให้ไข่สุกเร็วๆ แล้วคลุกให้ทั่วข้าว ใส่น้ำมันหอย ผัดให้ทั่ว
  3. ตักขึ้นใส่จาน นำแตงกวาหั่นเป็นแว่นวางข้างจาน โรยหน้าด้วยพริกไทยป่น ต้นหอม ผักชี รับประทานได้เลย
2. โจ้กหมูสับ ใส่ไข่
ส่วนประกอบ




  1. ปลายข้าวหอมมะลิประมาณ 2 ถ้วยตวง
  2. หมูสับประมาณ 2 ขีด
  3. วันนี้แม่ปันปรายมีกระดูกหมูอ่อนด้วย แต่ไม่ใส่ก็ได้ค่ะ
  4. หัวไชเท้า 1 หัว (ไม่ต้องใหญ่มาก)
  5. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา
  6. ไข่ลวก 3 ฟอง (ตามชอบ)
  7. ขิงซอย 1 ถ้วยตวง
  8. ซุปไก่ก้อน 1 1/2 ก้อน
  9. กระเทียมเจียว
  10. ต้นหอมผักชีซอยละเอียด
  11. พริกไทย และเครื่องปรุงตามชอบ (เช่น พริกป่น น้ำปลา น้ำส้มสายชู)


วิธีทำ
  1. ต้มปลายข้าวกับน้ำสะอาด 1/2 ลิตร (ใครไม่มีปลายข้าว จะใช้ข้าวสวยมาบดหรือสับซักหน่อยก็ได้ค่ะ) แต่เวลาต้องคอยดูอย่าให้น้ำใส เพราะเราต้องเติมน้ำซุปเพื่อปรุงรสอีก
  2. ต้มข้าวจนเละได้ที่ ปิดไฟไว้ก่อน
  3. ต้มน้ำซุป วันนี้แม่ปันปรายใช้กระดูกหมูอ่อน จำนวนหนึ่ง ต้มกับหัวไชเท้าและซุปไก่ก้อน 1 ก้อน (จะใช้ซุปหมูก้อนก็ได้นะคะ เผอิญชอบรสไก่ค่ะ) ใช้น้ำเพื่อต้มประมาณ 1.5 ลิตร
  4. ปรุงรสน้ำซุป โดยใส่ ซีอิ๊วขาว 2 ช้่อนโต๊ะ เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ
  5. ระหว่างนั้น ให้ปรุงรสหมูสับ โดยใส่ ซีอิ๊วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ ซอสน้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา  และพริกไทยอีก 1/2 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วพักไว้ก่อนค่ะ
  6. เมื่อน้ำซุปได้ที่แล้ว ค่อยๆเติมน้ำซุปใส่ในข้าวที่ต้มไว้ ปรุงรสเพิ่มด้วยซุปไก่ก้อน 1/2 ก้อน และซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ ชิมรสดู แล้วปรุงรสตามชอบ
ทคนิคการทำไข่ลวก
  • ต้มน้ำให้เดือด ดูจำนวนน้ำให้ท่วมไข่
  • เมื่อน้ำเดือดแล้ว ค่อยๆใส่ไข่ลงไประวังอย่าให้แตก แล้วนับซัก 10 วินาที ปิดฝาและปิดไฟ
  • รอจนครบ 5 นาที แล้วนำมาออกมาพักไว้ค่ะ 



3.ซุปข้าวโพด 2 แบบ

3.1 แบบเนื้อครีมข้น
- ข้าวโพดฝานละเอียด 3 หัว
- หัวหอมใหญ่สับละเอียด 1 หัว
- เนย 3 ช้อนโต๊ะ
- นมสด 1 ถ้วย
- ครีมสด 1 ถ้วย
- น้ำซุป 1 ถ้วย
- เกลือ พริกไทย น้ำตาล
- ใบกระวาน 1 ใบ

วิธีทำ
- ผัดหัวหอมใหญ่กับเนย จนกระทั่งหอมใส แล้วจึงนำเอาข้าวโพดลงไปผัดจนกระทั่ง ข้าวโพดสุก
- ใส่น้ำซุปลงไปเพื่อเคี่ยวให้ข้าวโพด หัวหอมใหญ่ นิ่มเป็นเนื้อเดียวกัน
- ใส่เกลือ พริกไทย ใบกระวานลงไป ต้มต่อสักพักจนเครื่องปรุงเข้ากันดีแล้ว
- นำเครื่องปรุงทั้งหมด ลงปั่นในเครื่องปั่นอาหารให้ละเอียดเนียน นำเอามากรองกับผ้าขาวบาง เพื่อบีบเอาแต่เนื้อครีมข้าวโพด
- นำนมสด ตั้งไฟอ่อน ใส่เนื้อครีมข้าวโพดที่ผ่านการปรุงรสแล้ว คนให้เนื้อครีมผสมกับนมสด เคี่ยวด้วยไฟอ่อนไปสักพัก จนเดือดชิมรส เติมได้ตามชอบใจ แต่เปิ้ลชอบให้เนื้อครีมมีรสหวานเล็กน้อย จึงใส่น้ำตาลนิดหน่อยค่ะ
- เมื่อเครื่องปรุงเดือดดีแล้ว เติมครีมสด คนตลอดเวลาที่ใส่ครีมแล้ว รอให้เดือดอีกครั้ง ปิดไฟพร้อมเสริฟ
- เสริฟพร้อมกับขนมปังกรอบก้อนเล็ก ๆ หรือถ้าชอบเบคอน ใส่เบคอนที่ทอดกรอบแล้วชิ้นเล็ก ๆ โรยหน้าจะหอมมั๊ก ๆ ค่ะ

3.2 แบบมีเนื้อข้าวโพดผสมค่ะ
- ข้าวโพดฝานละเอียด 3 หัว แบ่งไว้เป็น 2 ส่วน
- หัวหอมใหญ่สับละเอียด 1 หัว
- เนย 3 ช้อนโต๊ะ
- นมสด 2 ถ้วย
- แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำซุป 1 ถ้วย
- เกลือ พริกไทย น้ำตาล
- ใบกระวาน 1 ใบ
วิธีทำ
- ผัดหัวหอมใหญ่กับเนย จนกระทั่งหอมใส แล้วจึงนำเอาข้าวโพด 1 ส่วน ลงไปผัดจนกระทั่ง ข้าวโพดสุก
- ใส่แป้งข้าวโพด ลงไปผัดกับเครื่องปรุงจนทั่วกันดี เติมน้ำซุป เติมเกลือ พริกไทย น้ำตาล ใบกระวาน ตั้งไฟอ่อน
- เคี่ยวซุปด้วยไฟอ่อน จนกระทั่งเครื่องปรุงนิ่มเป็นเนื้อเดียวกัน
- เติมนมสด และข้าวโพดส่วนที่ 2 ลงไป เคี่ยวต่ออีกสักพัก จนกระทั่งข้าวโพดสุก ชิมรสตามชอบ ปิดไฟ พร้อมเสริฟค่ะ
- เสริฟพร้อมกับขนมปังกรอบก้อนเล็ก ๆ หรือถ้าชอบเบคอน ใส่เบคอนที่ทอดกรอบแล้วชิ้นเล็ก ๆ โรยหน้าจะหอมมากๆ ค่ะ


4. เมนูผัดผักบล็อโคลี่กับเห็ดหอม

วัตถุดิบและสัดส่วน:
1. บล็อกโคลีหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
2. เห็ดหอมสด
3. เนื้อหมูหั่นชิ้นพอดีคำ
4. กระเทียมสับละเอียด
5. น้ำมันพืช
เครื่องปรุง:
1. น้ำตาล
2. น้ำปลา
3. น้ำมันหอย
4. ซีอิ๊วขาว
5. ซอสปรุงรส
6. พริกไทย
ขั้นตอนการปรุง:
1. ผักต่างๆ ล้างน้ำแล้วนำขึ้นสะเด็ดใส่กระชอนไว้
2. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ รอจนน้ำมันร้อน ใส่กระเทียมลงมาเจียวจนหอม
3. ใส่หมูที่หั่นไว้ลงมาผัด พร้อมใส่เครื่องปรุงรสต่างลงไป ตามด้วยบล็อกโคลี และเห้ดหอมสด
4. ผัดจนผักสุก แล้วโรยพริกไทยลงไปผัดให้เข้ากัน ตักใส่จาน



5. เมนูขนมหวาน ลูกเดือย-ถั่วเขียวต้ม 

1.  ลูกเดือย - ถั่วเขียว (คัดเอาถั่วเสีย เศษผง และ ถั่วหินออกแล้ว) 1/2 ถ้วย
2. น้ำตาลทรายแดง 1/4 ถ้วย
3. น้ำตาล ทราย 1/2 ถ้วย (ไว้แต่งรสตามชอบ)
4. เกลือ 1/8 ช้อนชา
5. น้ำ 6 ถ้วย
วิธีทำ
1. แยกถั่วที่ดี และถั่วที่เสีย ได้โดยการนำน้ำใส่อ่างผสม และเทถั่วลงไป คัดถั่วที่ลอย และเม็ดสีดำออก
2. ล้างถั่วให้สะอาด
3.นำถั่วที่ได้คั่วด้วยไฟอ่อน จนให้มีกลิ่นหอม
เอาถั่วที่คั่วแล้ว ไปแช่น้ำเปล่าประมาณ 3 ชั่วโมง (ผมล่อไปทั้งคืน)
ช่วงนี้แหล่ะที่ถั่วจะขยายตัว ก็คอยมาเติมน้ำสักครั้งเมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็จะกำลังดี
เหตุที่ีต้องแช่น้ำทิ้งไว้ 3 ชั่วโมงก็เพราะจะได้ไม่ต้องต้มนาน
ถ้าใจร้อน หรือเวลาจำกัด ท่านว่าให้แช่ถั่วในน้ำร้อน (ผมก็ไม่เคยลองเหมือนกัน)
4. นำถั่วเขียวลงไปต้ม  (ปริมาณน้ำกะเอา) เมื่อน้ำเดือด ปรับไฟเป็นไฟอ่อน อย่าเพิ่งใส่น้ำตาลเด็ดขาด ต้มไปจนกว่า ถั่วจะสุกนุ่ม บานเล็กน้อย
5. ต้มๆ คนๆ ไปเรื่อยๆ จนถั่วเขียวเริ่มบานออก แล้วจึงใส่น้ำตาลทรายแดง เหยาะเกลือนิดหน่อย (ย้ำ! ว่านิดเดียว) ชิมรสหวาน จืดตามใจชอบ แล้วตักกินได้เลย (ระวังร้อน)
เกร็ด ที่ต้องใส่น้ำตาลทีหลังเพราะถ้าเราใส่น้ำตาลลงไปก่อน จะทำให้จุดเดือดของน้ำสูงขึ้น ทำให้ถั่วสุกยากขึ้น
คำเตือน: เนื่องจากหลังจากปรุงเสร็จ ถั่วเขียวจะขยายตัวเป็นปริมาณประมาณ 1.5 เท่าของปริมาณเดิม ดังนั้นเวลากะก็กะให้พอว่ามันขยาย 1.5 เท่าแล้วไม่เหลือ ไม่ล้นเกิน
หลายคนคงนึกด่าผมในใจ “ไอ้เฮ้ แล้วจะรู้ได้ไงฟร่ะ ว่ามันสุกแล้ว” ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เดาๆ เอาว่ามันหอมๆ แล้วเปลี่ยนสีก็ยกขึ้น

สรรพคุณ

  1. ถั่วเขียวมีฤทธิ์เย็น รสหวาน ทำให้มีคุณสมบัติเด่นในการขับร้อน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยขับปัสสาวะและของเหลวอื่น ๆ รักษาอาการบิด แก้หวัด คออักเสบ ถอนพิษที่เกิดจากสารหนู
  2. ช่วยลดความดันโลหิต แก้เบาหวาน บำรุงสายตา เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของไตและม้าม
  3. แก้อาการตกขาว และอาการน้ำอสุจิเคลื่อนบ่อย (อันนี้ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ว่าเคลื่อนยังไง)
  4. เปลือกหุ้มเมล็ดถั่วเขียวเป็นแหล่งเส้นใยที่ดี จึงช่วยป้องกันท้องผูกริดสีดวงทวาร ช่วยรักษาโรคตาแดง ตาอักเสบ ช่วยให้เจริญอาหาร
  5. ถั่วเขียวมีปริมาณไขมันต่ำกว่าถั่วลิสงและถั่วเหลือง จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

วิธีใช้

  1. ต้มถั่วเขียวกับน้ำตาล หรืออาจไม่เติมน้ำตาลก็ได้ กินเป็นยาและอาหาร ช่วยแก้ร้อนในและเพิ่มพลัง
  2. ต้มถั่วเขียวกับแกนกะหล่ำปลี กรองเอาเฉพาะส่วนน้ำมาดื่ม รักษาอาการคางทูม
  3. ต้มถั่วเขียวกับลูกเดือยและสะระแหน่ เติมน้ำตาลเล็กน้อย กินรักษาอาการร้อนใน ตาแดง ริดสีดวงทวาร และโรคผิวหนัง
  4. ต้มถั่วเขียวกับแตงกวา ฟักทอง และเปลือกแตงโม กินแก้ร้อนใน ถอนพิษ และบำบัดโรคผิวหนัง
  5. ต้มถั่วเขียวกับถั่วแดง และลูกเดือย กินบำบัดอาการของโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร บวมน้ำ หรือต้องการถอนพิษ
  6. ต้มถั่วเขียวกับสาหร่ายทะเล และน้ำตาลกรวด กินเพื่อลดระดับไขมันในเส้นเลือดและช่วยลดความดันโลหิต
  7. ต้มถั่วเขียวโดยไม่ใส่น้ำตาล กินทุกวันจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน
ข้อควรระวัง
ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับม้าม หรือท้องเสียบ่อย ๆ ไม่ควรกิน

ขอขอบคุณ : บล็อกแก๊งค์ดอทคอม/และภาพจากอินเตอร์เน็ต