หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

5 เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเพื่อต้านมะเร็ง


อาหารต้านมะเร็ง
1. ผัก  - ผักมีกากใยปริมาณมาก  ซึ่งผักที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านมะเร็ง ได้แก่
v   กลุ่มผักมีสี เช่น บีทรูท ผักโขม แครอท มะเขือเทศ  ยิ่งมีสีเข้มมมากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงว่ามีสารที่มีประโยชน์ (phytochemical) มากขึ้นเท่านั้น   รงควัตถุเหล่านี้ได้แก่ ไบโอฟลาวินอยด์ 20,000 ชนิด และแคโรทีนอยด์ 800 ชนิด ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายและยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการทำลายเซลล์มะเร็ง
v   กลุ่มกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี กะหล่ำดอก   ในผักชนิดนี้จะมีสารต้านมะเร็ง  สารที่ช่วยขจัดสารพิษ ตลอดจน อินดอล-3-คาร์บินอลและซัลโฟราเฟน
v   หัวหอม&กระเทียม – ประกอบด้วยไบโอฟลาวินอยด์หลายชนิดด้วยกัน หนึ่งในนั้นได้แก่ เคอร์ซิทิน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้  นอกจากนี้ยังมีสารต้านมะเร็งอื่นๆ ได้แก่ อัลลิซิน , เอส-อัลลิล ซิสทีอิน, ซีลีเนียมและสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย   ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดี ที่เราจะรับประทานกระเทียมและหัวหอม เป็นประจำ
2. ปลาน้ำเย็น เช่น แซลมอน คอท แมคเคอเรล  ซาร์ดีน  ทูน่าและปลาจากทะเลน้ำลึก  ในปลา  เหล่านี้จะอุดมไปด้วยไขมันที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ได้แก่ EPA(eicosapentaenoic acid) และ DHA ( docosahexaenoic acid) ซึ่งชะลอการแพร่ของมะเร็ง  กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆที่พบในน้ำทะเล แต่ไม่พบในดิน
3.ถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ในถั่วเหล่านี้พบว่ามีสารต้านโปรตีเอสในปริมาณสูง(มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง) นอกจากนี้ยังพบว่ามีอินโนซิทอล เฮกซาฟอสเฟต(กรดไฟตริก ซึ่งในท้องตลาด จะขายในรูปของ IP-6)  และจีเนสเตอิน (ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งตีบลง)   นอกจากนี้ในถั่วยังอุดมไปด้วยกากใยที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งจะช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายตามธรรมชาติ

4.เมล็ดธัญพืช เช่นข้าว โอ๊ต  บาร์เลย์  ข้าวโพด ข้าวสาลี  เนื่องจากเมื่อกากใยของพืชเหล่านี้แตกตัวที่ลำไส้จะเปลี่ยนเป็นกรดบิวไทริกที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง
5.สาหร่ายทะเล  จะประกอบด้วยสารบางชนิดที่ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหาร  และยังประกอบด้วยกากใยชนิดพิเศษที่สามารถละลายน้ำได้ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการนำไขมันอันตราย สารอนุมูลอิสระ สารพิษต่างๆออกจากลำไส้     นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังเป็นแหล่งของแร่ธาตุอย่างดีจากน้ำทะเล
6.เบอร์รี่ เช่น ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่  เบอร์รี่สีดำ เพราะในเบอร์รี่จะมีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง และยังมีกรดอัลลาจิกที่จะทำลายเซลล์มะเร็งให้ตาย

7.โยเกิร์ต  เนื่องจากในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียชนิดแลคโตบาซิลัส ที่สามารถหมักนมให้เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน  และเนื่องจากกว่า 80% ของระบบภูมิคุ้มกันจะอยู่ที่ทางเดินอาหาร  ดังนั้นโยเกิร์ตจึงเป็นอาหารที่จัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกายในการป้องการติดเชื้อและยังช่วยต้านมะเร็งอีกด้วย
8.ชาเขียว  ประกอบด้วยคาเทชินและสารเคมีในพืชอีกหลายชนิดด้วยกัน  จากงานวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติประเทศญี่ปุ่นและจีน พบว่าชาเขียวสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งและยังสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้
หมายเหตุ  การดื่มชาเขียวให้ได้รับประโยชน์เต็มที่นั้น ต้องดื่มทันทีหลังจากชงเสร็จ เนื่องจากถ้าทิ้งไว้ชาเขียวจะทำปฎิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ  ทำให้สูญเสีย   คุณค่าไป
9.เครื่องเทศ  -มาสตาร์ด  พริก พริกไท  กระเทียม หัวหอม  ขิง โรสแมรี่  อบเชยและเครื่องเทศอื่นๆที่ใช้ปรุงแต่งรส  สามารถต้านมะเร็งและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
10.น้ำสะอาด  - เป็นเรื่องแปลกที่กว่า 2 ใน 3 ของพื้นที่บนโลกและของร่างกายนั้นประกอบด้วยน้ำ  เนื่องจากน้ำนั้นเป็นเป็นสารตัวกลางสำคัญของร่างกายที่ใช้ในขบวนการต่างๆของเซลล์ อาทิเช่น ควบคุมสมดุลกรด-ด่าง  การทำความสะอาด  การขจัดสิ่งสกปรก  และยังนำพาสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์  ตลอดจนนำของเสีย หรือสารพิษออกจากเซลล์อีกด้วย
10 เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง
1.ห่อหมกปลาช่อนใบยอ
ส่วนผสม
1. มะกรูด ใบตอง กระทิ หัวกระทิ พริกเเกงเเดง(ทำห่อหมก) เนื้อปลาช่อน ผักชี ใบยอ
2.ปลาช่อน หั่นเอาเนื้อ 1 ถ้วย
วิธีทำ
1. เตรียมใบมะกูดมาหันฝอยๆ  ใบยอ  พริกแกงแดงทำห่อหมก
2.คั้นน้ำกะทิ แล้วนำพริกแกงมาใส่  หัวกระทิแยกไว้
3.นำเนื้อปลาช่อนมาใส่หม้อพร้อมเครื่องแกงตีไข่เป็ด ใส่ 2ฟอง ปรุงรส คนให้เข้ากัน จนเป็นเนื้องวดๆ
4.เตรียมใบตองพร้อมห่อ
ใส่พริกแกงคนพร้อมกับหัวกระทิ
รองด้วยใบยอ 
5.นำใบย่อรองบนใบตองก่อนแล้วนำเครื่องแกงห่อหมกมาใส่ตามด้วยใบมะกูด ราดด้วยหัวกะทิข้นๆ ราดลองไป เสร็จแล้วก็ห่อ
6.เมื่อห่อเสร็จแล้ว นำไปนึ่งให้สุก ประมาณ 30-40 นาที จนหอม
7.ยกลง พร้อมเสริฟ ก็อร่อยสุดๆ
ขอขอบคุณ : http://foodfunza.blogspot.com

2.ฉู่ฉี่ปลาทับทิม
เครื่องปรุง
1. ปลาทับทิม หรือ ปลานิล ทอดกรอบๆ
2. น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ชูรส (ผสมรวมกันไว้ ปรุงให้ได้ 3 รส)
3. พริก กระเทียม รากผักชี (โขลกรวมกันไม่ต้องละเอียดมาก)
วิธีทำ
-.คลุกปลาด้วยมะนาว แล้วจึงเคล้าด้วยเกลือ เกลือกด้วยแป้งสาลีบางๆ
-.ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ทอดปลาพอเหลืองตักขึ้น พักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
-.โขลกพริกชี้ฟ้า กระเทียม 5 กลีบ รากผักชี เข้าด้วยกัน
-.ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟร้อน ใส่เครื่องที่โขลก ผัดพอหอม ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ชูรส
-.ราดใส่ที่ปลา ตักใส่จานเสิร์ฟ

3.แกงเผ็ดเป็ดย่าง
เครื่องปรุง
เป็ดย่าง ½ ตัว
สัปปะรดหั่นเป็นชิ้น ½ ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ½ ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูด 5 ใบ
มะเขือเทศลูกเล็ก 6 ลูก
วิธีทำ
1. นำเป็ดย่างมาแกะกระดูกออก หั่นเป็นชิ้นขนาดพอคำ นำใบมะกรูดและมะเขือเทศไปล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วฉีกใบมะกรูดเอาเส้นกลางใบออก และผ่ามะเขือเทศเป็นสองส่วน
2. เปิดเตาที่ไฟปานกลาง นำหัวกะทิใส่ลงในหม้อประมาณ ½ ถ้วย (ไม่ต้องคนกะทิก่อนเทนะคะ จะได้ส่วนบนเป็นหัวกะทิ) รอจนหัวกะทิเดือดก็ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดลงไป ผัดให้น้ำพริกกับกะทิเข้ากัน รอจนกะทิแตกมัน (หมั่นคนเป็นระยะนะคะ ไม่งั้นเดี๋ยวก้นจะไหม้)
3. เมื่อกะทิแตกมันได้ที่แล้วจึงใส่เนื้อเป็ดย่างที่หั่นไว้ลงไป ผัดให้เข้ากัน ทะยอยเติมกะทิที่เหลือลงไปครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะประมาณ 3 ครั้ง
4. ใส่สัปปะรดและมะเขือเทศที่หั่นแล้วลงไป คนให้เข้ากัน ใส่กะทิที่เหลือลงไปจนหมด ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว (หรือน้ำปลา) และน้ำตาลทราย รอจนกะทิเดือดอีกครั้ง ก็ใส่ใบมะกรูดลงไป คนให้เข้ากัน ปิดเตา
5. ตักใส่ชาม จากนั้นก็ยกเสิร์ฟได้เลยค่ะ
4.ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่-มะเขือเทศส่วนผสม
- ไข่ไก่ 2 ฟอง
- ถั่วฝักยาว
- หอมหัวใหญ่
- แครอท
- มะเขือเทศ
- น้ำมันพืช
วิธีการทำ
- เมื่อเราได้เตรียมของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ทำการตอกไข่ จากนั้นใส่น้ำมันเตรียมพร้อมเอาตั้งไฟ ใช้ไฟไม่ต้องแรงมากประมาณกลางๆ ตั้งน้ำมันรอไว้
- ทีนี่เราก็มาตีไข่ใส่ชาม จากนั้นใส่ซีอิ้วขาว ในส่วนนี้สามารถที่จะใส่เครื่องปรุงอย่างอื่นได้ด้วย ส่วนผัก ก็แล้วแต่ชอบอยากใส่อะไรก็ได้ อย่างเช่น ข้าวโพด กระเทียม ต้นหอม  หรือไก่สับ หมูสับก็ได้
- พอน้ำมันเริ่มร้อนได้ที่ก็เทไข่ใส่ลงไปได้เลยปรับไฟลงประมาณนึง พยายามอย่าใจร้อนเพราะถ้าเราใจร้อนใข่ด้านนอกสุก แต่ข้างในอาจจะยังไม่สุกไข่ด้านนอกอาจจะไหม้ก่อนค่อยๆกลับด้านในหมุนไป เรื่อยๆ จนสุก
5.ไก่ทอดสมุนไพร

ส่วนประกอบและวิธีทำ น่องไก่บน ทอดสมุนไพร
1 ปีกไก่ส่วนบน (น่องไก่บน) 1 กิโลกรัม ล้างทำความสะอาด สะเด็ดน้ำให้แห้ง
2 ตำส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันมี ขมิ้นปอกเปลือก 1 ขีด , ตะไคร้หั่นตำบีบเอาน้ำออกทิ้งก่อน 3 ต้น , กระเทียมแกะเป็นกลีบ 1 ช้อนโต๊ะ , รากผักชี 5 ราก ตำทุกอย่างรวมกันไม่ต้องถึงขั้นละเอียดมาก แล้วใส่คนอร์ไก่ผง 1 ช้อนโต๊ะ , น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ , แป้งโกกิ 50 กรัม ผสมให้เข้ากันดี นำปีกไก่ที่เตรียมไว้ลงมาคลุกให้ทั่ว หมักไว้ 30 นาที
3 ตั้งกะทะใส่น้ำมันกะให้ท่วมเนื้อไก่ที่จะทอด เปิดไฟแรงก่อน น้ำมันร้อนแล้วค่อยหรี่ใช้ไฟกลาง นำน่องไก่บนหรือปีกไก่ที่หมักไว้ลงทอด ขณะทอดเมื่อเครื่องปรุงทั้งขมิ้นและตะไคร้ที่ตำไว้เริ่มสุกก็จะเริ่มลอยขึ้นมา ให้ใช้ตะแกรงตาถี่ตักขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันเก็บไว้ก่อน อย่าปล่อยไว้นานเพราะจะทำให้มีรสขม เมื่อเนื้อไก่ที่ทอดสุกดีแล้ว ให้ตักขึ้นมาสะเด็ดน้ำมัน ตักวางเรียงใส่จาน นำกากเครื่องปรุง(แก้เลี่ยนได้ดีมาก)ที่เราตักออกมาก่อนนี้โรยบนน่องไก่(บน)ทอดแต่งหน้าด้วยผักชีและพริกแดงเส้น กินคู่กับน้ำจิ้มไก่
เทคนิคการทำ น่องไก่บน ทอดสมุนไพร
1 ปีกไก่ถ้ามีขนอ่อนติดมาก จะลวกน้ำร้อนจัดๆ ก่อนพอให้หนังตึงจะถอนขนได้ง่ายขึ้น
2 เวลาเติมแป้งโกกิต้องค่อยไเติมและผสมไปเรื่อยๆ ไม่งั้นจะจับเป็นก้อน
3 เวลาตั้งน้ำมันต้องเปิดไฟแรงให้น้ำมันร้อนจัดก่อน แล้วค่อยหรี่ไฟ เวลาทอดจะไม่อมน้ำมัน
ขอขอบคุณ : http://yummy-style.blogspot.com
http://www.travelthaimagazine.com






วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

5 เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อน

อาการของโรคมะเร็งตับอ่อนและเมนูอาหารสำหรับผู้เป็นมะเร็งตับอ่อน
วิธีรักษาและลักษณะของโรคมะเร็งตับอ่อน
   เกรียงไกร อายุ 52 ปี ลาออกจากบริษัทเพราะอยากมีกิจการร้านอาหารของตัวเอง จึงไปลงเรียนทำอาหาร วันหนึ่ง
เกรียงไกรพาครอบครัวออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน และถือโอกาสสำรวจรสชาติอาหารตามร้านต่าง ๆ ไปด้วย หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ เขาเกิดอาการปวดท้อง แต่คิดว่าไม่เป็นไรเพราะอาจเกิดจากการรับประทานอาหารมากเกินไป หลายวันผ่านไปก็ยังมีอาการปวดท้องอยู่ แต่คราวนี้มีอาการแน่นร่วมด้วย เขาจึงรีบไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาลาล และก็พบว่าทุกอย่างปกติดี ไม่พบเนื้องอกและมะเร็งใด ๆ แต่พบว่ามีคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากเป็นคนชอบรับประทานอาหารไขมันสูงและดื่มเหล้าหลังอาหารทุกวัน
   หลังจากไปพบหมอ เกรียงไกรได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองใหม่ โดยวิ่งและออกกำลังกายทุกเช้า และเลิกบุหรี่ที่สูบมานานเกือบ 30 ปี จู่ ๆ ก็เกิดอาการปวดหลังขึ้นมาอีก แต่คิดไปว่าเป็นเพราะเริ่มออก
กำลังกายกะทันหันเกินไป เขาจึงให้ภรรยานวดหลัง อาการก็ดีขึ้น แล้ว 2 สัปดาห์ต่อมา อาการปวดท้องและแน่นท้องก็หายไป เขาเข้าใจว่า ร่างกายเริ่มแข็งแรงเป็นปกติแล้ว โดยไม่รู้ว่าโรคร้ายกำลังมาเยือน จวบจนครึ่งปี ด้วยความมานะพยายามทำให้เขาสามารถเปิดร้านอาหารได้สำเร็จและกำลังจะเปิดตัวในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าคืนก่อนเปิดร้าน กลางดึกเขาออกมาปัสสาวะและพบว่าสีปัสสาวะกลายเป็นสีช็อกโกแลต และหน้าเขาซีดเหลืองเห็นได้ชัด เกิดอะไรขึ้นกับเกรียงไกร?
 กลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งตับอ่อน
   มักเกิดกับคนที่มีอายุระหว่าง 60-70 ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และสามารถเกิดได้กับคนที่คิดว่าตัวเองแข็งแรง ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เนื่องจากโรคชนิดนี้เกิดจากการสะสมของสารพิษ และมลภาวะต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทำให้ตับอ่อนอักเสบ
 อาการที่พึงระวัง
 คนที่มีอาการปวดท้องบ่อย ๆ แต่ไม่รุนแรง และอยู่ ๆ อาการปวดท้องก็หายไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ หรือ

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

3 เมนูสบายท้อง สำหรับผู้เป็นโรคกระเพาะอาหาร เบา เบา รสไม่จัด



เมนูอยู่ด้านล่างค่ะ)
ปวดท้องที่ไม่ธรรมดา
ปวดท้องที่ไม่ธรรมดา เรื่องสำคัญเกี่ยวกับอาการปวดท้องที่คนทั่วไปควรสนใจได้แก่ การแยกให้ได้ว่ากรณีใดควรรักษาตนเอง และกรณีใดควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที อาการปวดท้องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อยๆ และสามารถรักษาด้วยตนเองได้ 
 เช่น ปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหาร และปวดท้องจากโรคอาหารเป็นพิษ ส่วนอาการปวดท้องบางกรณีจะยากในการวินิจฉัยเบื้องต้น หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์เช่นกัน ได้แก่ อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นกระทันหัน และรุนแรง อาการปวดท้องที่คงอยู่นานกว่า 4 ชั่วโมง โดยไม่ทุเลาเลย อาการปวดท้องที่มีอาการอาเจียนหลายครั้ง และอาการปวดท้องที่รักษาด้วยตนเองแล้วไม่ทุเลา
รายละเอียดอาการปวดท้องที่ช่วยในการวินิจฉัยโรค
  1. ตำแหน่ง หรือบริเวณที่เริ่มปวด เช่น บริเวณลิ้นปี่ รอบๆ สะดือ หน้าท้องส่วนบน ใต้ชายโครงขวา หรือซ้าย ท้องน้อยตรงกลาง เหนือหัวเหน่า หรือท้องน้อยขวา หรือซ้าย และเมื่อเวลาผ่านไปอาการปวดเปลี่ยนหรือ ย้ายที่หรือไม่
  2. ปวดท้องมานานเท่าไร ภายในไม่กี่ชั่วโมง 2-3 วัน หรือเป็นเรื้อรังมานาน
  3. ลักษณะของอาการปวดเป็นแบบใด ปวดเป็นพักๆ เดี๋ยวปวดมากเดี๋ยวเบาลง หรือปวดตลอดเวลา ไม่มีหยุดพักเลย และปวดแบบแสบร้อน ปวดเหมือนถูกแทง ปวดตื้อๆ หรือปวดถ่วงๆ เป็นต้น
  4. อาการปวดเกิดขึ้นอย่างรุนแรงทันทีทันใด หรือค่อยๆ ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนทนไม่ได้จึงมาพบแพทย์
  5. มีอาการปวดร้าวไปที่อื่นหรือไม่ เช่น ปวดร้าวไปที่หัวไหล่ขวาหรือซ้าย ร้าวไปหลัง ไปเอว ไปขาหนีบ หรือร้าวไปที่ลูกอัณฑะมีอาการอื่นที่เกิดร่วมด้วยหรือไม่ เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนท้องผูก ท้องเสีย เป็นไข้ เหงื่อแตก หน้ามืดเป็นลม
  6. สาเหตุที่ทำให้ปวดมากขึ้น เช่น อาหาร การถ่ายปัสสาวะ หรืออุจจาระ การหายใจแรงๆ ไอหรือจาม การเคลื่อนไหว ท่านั่งหรือท่านอน

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

5 เมนู สำหรับผู้เป็นกรดไหลย้อน

"กรดไหลย้อน" โรคยอดฮิตของคนเมือง
หากถามว่าปัจจุบัน สถานการณ์เรื่องไหนดูน่ากลัวที่สุด เชื่อว่าเกือบทุกคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “สถานการณ์ไข้หวัด2009” เพราะดูเหมือนว่า ทั้งยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจะมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน
ถึงแม้ว่าการระบาดมีแนวโน้มชะลอลงบ้างแล้ว โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ก็ตาม ในขณะที่ทุกคนมัวแต่หวาดกลัวไข้หวัด 2009 สายตาจับจ้องสังเกตอาการคนใกล้ชิดว่า มีไข้ ปวดเนื้อตัว เข้าข่ายติดเชื้อหรือไม่  ขณะที่อาการเหล่านี้ ซึ่งเหมือนมีน้ำย่อยขมๆ ไหลย้อนมาที่คอ แสบร้อนยอดอก ท้องอืด แน่นท้องหรือรู้สึกจุกที่คอ หลังอาหารมื้อหลักมักจะคลื่นไส้อาเจียน คุณเคยสังเกตบ้างไหมว่า อาการเหล่านี้ก็อันตรายต่อสุขภาพคุณเช่นกัน เพราะเป็นสัญญาณเตือนของภัยเงียบที่เรียกว่า “โรคกรดไหลย้อน”

 โรคกรดไหลย้อน ไม่ได้เป็นโรคแปลกใหม่สำหรับคนไทย เป็นโรคที่พบมานานแล้ว เป็นภาวะที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหารอย่างผิดปกติ เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ หลอดอาหารส่วนปลายมีการคลายตัวอย่างผิดปกติ ความดันของหูรูดส่วนปลายหลอดอาหารต่ำกว่าปกติ หรือเกิดจากความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร รวมถึงพันธุกรรมอีกด้วย
    สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเป็นโรคนี้
     พฤติกรรมการบริโภคที่หันไปใช้ชีวิตแบบชาวตะวันตก ตื่นเช้ามาก็เร่งรีบไปทำงาน ไม่ค่อยกินข้าว กินแต่กาแฟ แถมยังชอบกินอาหารเย็นหนักๆ แล้วก็นอน อาหารจึงยังตกค้างอยู่ในกระเพาะ ร่างกายต้องหลั่งกรดออกมาย่อยอาหารที่ยังตกค้างอยู่ ประกอบกับท่านอนไม่ถูกต้อง หัวเสมอหรือต่ำกว่าลำตัว ทำให้กรดใน

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

5 เมนูอาหารสำหรับคนอ้วน

โรคอ้วน    การประเมินว่าอ้วนหรือไม่ สาเหตุโรคอ้วน ผลเสียของโรคอ้วนจะรักษาโรคอ้วนเมื่อไรมีกี่วิธีในการรักษาโรคอ้วนขั้นตอนในการรักษาผลดีของการลดน้ำหนัก การป้องกัน อ้วนลงพุง(metabolic syndrome)
การควบคุมอาหารในผู้ป่วยโรคอ้วน
การลดพลังงานจากอาหาร
คนปกติคนเราต้องการพลังงานประมาณ 25-35 กิโลแคลอรี/น้ำหนัก 1 กิโลกรัมดังนั้นเราสามารถคำนวณพลังงานที่เราควรได้รับในแต่ละวันโดยเอาน้ำหนักคูณด้วย 25 ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นพลังงานทั้งหมด ถ้าเราต้องการลดน้ำหนักให้เอา 500 กิโลแคลอรีลบจากที่คำนวณได้จะได้พลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน นำพลังงานที่ได้หารด้วย3 จะได้พลังงานที่ควรได้รับในแต่ละมื้อ โดยทั่วไปถ้าหากต้องการลดน้ำหนักผู้หญิงควรได้พลังงานวันละ 1000-1200 กิโลแคลอรี สำหรับผู้ชายควรได้ 1200-1600 กิโลแคลอรีซึ่งจะทำให้น้ำหนักลดลง ครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ การรับประทานอาหารเหลวที่มีพลังงานต่ำจะทำให้น้ำหนักลดในช่วงแรก แต่เมื่อหยุดอาหารเหลวก็จะกลับอ้วนขึ้นมาใหม่
เลือกอาหารที่มีคุณภาพ
  1. เมื่อรับประทานอาหารให้พยายามนึกถึงปริมาณพลังงานที่เรารับประทาน แทนน้ำหนัก หรือชิ้น
  2. เลือกอาหารแป้งที่ถูกต้อง แม้ว่าปริมาณแป้งที่เรารับประทานจะมากถึงร้อละ 40-55 % การเลือกอาหารแป้งก็มีความสำคัญ ต้องเลือกแป้งที่มาจากธัญพืช พวกแป้งควรเป็นแป้งเชิงซ้อน เช่นข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ แทนน้ำตาล
  3. ลดอาหารที่ให้ความหวาน เช่น candies, cakes, cookies, muffins, pies, doughnuts and frozen desserts
  4. ลดอาหารไขมันลง เนื่องจากอาหารไขมันจะให้พลังงานมากกว่าพวกแป้งและเนื้อสัตว์เท่าตัว
  5. เมื่อรับประทานอาหารต้องกะปริมาณอย่าให้มากไป
  6. พยายามคำนวนอาหารที่รับประทานออกเป็นพลังงาน

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร
ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร ควรงดรับประทานอาหารต่อไปนี้
- ของระคายกระเพาะทุกชนิด
อาทิ ของรสเผ็ดร้อน รสจัดๆ เครื่องดองของเมา เหล้า เบียร์ อีกทั้งบุหรี่ (บุหรี่นี่ถือเป็นสุดยอดของแสลงของโรคกระเพาะเลย)
ควันบุหรื่ จะไปรบกวนการหายของแผลในกระเพาะ
- ของที่ทำให้กระเพาะต้องทำงานหนัก
อาทิ ของย่อยยาก เช่น เนื้อเหนียวๆ ของที่เคี้ยวไม่ละเอียด ไปจนถึงของที่กินมากเกินไป จนกระเพาะคราก (ย่อยไม่ไหว) เพราะถ้ากินของเหล่านี้ กระเพาะจะย่อยอาหารอยู่เป็นเวลานาน แผลในกระเพาะจึงโดนกระทบกระเทือนมากหน่อย
ของมันๆก็ย่อยยากนะครับ เพราะในกระเพาะไม่มีน้ำย่อยไขมัน

- ความเครียด ความหิว ก็เป็นของแสลงเช่นกัน มันทำให้น้ำย่อยออกมาเยอะ โดยเฉพาะเวลากลางคืน ถ้านอนไม่หลับร่วมด้วยล่ะก็ โรคกระเพาะจะหายยาก แม้ว่าโรคนี้จะรักษาหายได้ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นใหม่ได้
อีกหากผู้ป่วยไม่ปรับพฤติกรรมด้านสุขภาพ สำหรับข้อปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยโรคนี้ ได้แก่
1. รับประทานอาหารให้เป็นเวลาทุกมื้อ
2. งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
3. งดสูบบุหรี่
4. หลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์และยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานานหรือใช้ในขนาดสูง
ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาประเภทนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
5. ออกกำลังกายหรือหากิจกรรมต่างๆทำเพื่อผ่อนคลายความเครียด
   สิ่งที่ควรระลึกถึงเสมอในการรักษาโรคแผลในทางเดินอาหารคือการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
และพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพราะถ้ารักษาไม่ต่อเนื่องอาจทำให้เป็นแผลมากกว่าเดิม เกิดแผลเรื้อรังและรักษาได้ยากขึ้น

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อาหารของคนเป็นโรคโลหิตจาง

โลหิตจาง  เป็นภาวะอย่างหนึ่ง ไม่ใช่โรคโดยตรง เป็นเครื่องบอกเหตุว่า มีโรคหรือสาเหตุซ่อนอยู่
ซึ่งต้องค้นหาดูว่าเป็นอะไร แล้วจึงจะทำการรักษาที่ถูกต้อง
ในภาวะโลหิตจางร่างกายจะมีจำนวนเม็ดเลือดแดงลดลง แต่ละเพศและวัยมีค่านี้แตกต่างกัน เมื่อไรพบว่า ค่าต่ำกว่าพิกัดต่ำสุดของประชากรเพศและวัยนั้นก็ถือว่าโลหิตจาง 
** สาเหตุทำโรคนี้เพราะ มารดาของดิฉันเป็นอยู่จึงอยากรู้สาเหตุ แนวทางป้องกันและแก้ไข จึงทำโรคโลหิตจาง** และเพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้ที่ประสงค์อยากรู้หรือเป็นเกี่ยวกับโรคนโลหิตจาง
โลหิตจาง หรือ ภาวะเลือดจาง (อังกฤษ: Anemia or Anaemia) เป็นการลดลงของจำนวนเม็ดเลือดแดง
น้อยกว่าปกติ หรือปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดน้อยกว่าปกติ นอกจากนี้ยังรวมถึงภาวะที่ความสามารถใน
การจับออกซิเจนของโมเลกุลฮีโมโกลบินลดลง ทั้งจากความผิดปกติของโครงสร้างหรือจำนวนฮีโมโกลบินที่สร้างขึ้นเช่นในภาวะขาดฮีโมโกลบิน (hemoglobin deficiency) บางชนิด เนื่องจากฮีโมโกลบิน (โปรตีนที่พบภายในเม็ดเลือดแดง) ปกติทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อ โลหิตจางจึงทำให้เกิดภาวะเลือดมีออกซิเจนน้อย (hypoxia) ที่อวัยวะ และเนื่องจากเซลล์ทุกเซลล์ในมนุษย์ต้องการออกซิเจนเพื่อดำรงชีวิต โลหิตจางในระดับต่างๆ จึงทำให้เกิดอาการทางคลินิกตามมาได้หลายรูปแบบ   โลหิตจางเป็นความผิดปกติของเลือดที่พบได้บ่อยที่สุด แบ่งออกได้เป็นหลายชนิดและมีหลายสาเหตุ การแบ่งประเภทของโลหิตจางแบ่งได้หลายแบบ ทั้งจากรูปลักษณ์ของเม็ดเลือดแดง กลไกสาเหตุที่นำให้เกิด และอาการทางคลินิกที่แสดงออก เป็นต้น โลหิตจางสามชนิดหลักๆ ได้แก่การเสีย

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง

อาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตมีความสำคัญ เนื่องจากไตไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกาย การควบคุมอาหารที่ถูกต้องมีผลทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนน้อยลง ชะลอการเสื่อมของไต อาหารที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษได้แก่
  1. โปรตีน ถ้าไตเสื่อมไม่มากให้รับประทานโปรตีนได้ 0.8 กรัม/กก/วัน แต่ถ้าเสื่อมมากให้จำกัดปริมาณโปรตีนไม่เกิน 0.6 กรัม/กก/วัน โปรตีนเป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดของเสียซึ่งจะถูกขับออกทางไต ถ้าไตเสื่อมของเสียจะคั่งและไปสะสมตามอวัยวะต่างๆ ทำให้อวัยวะต่างๆทำงานผิดไป อาหารที่ให้โปรตีนสูงได้แก่ ไข่ ถั่ว นม เนื้อสัตว์ ไข่ให้รับประทานไข่ขาว ไม่ควรรับประทานไข่แดงเนื่องจากไข่แดงมี phosphorus และ cholesterol มาก ถ้าดื่มนมจะต้องลดอาหารเนื้อสัตว์ พวกถั่วต่างๆแลผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ให้โปรตีนสูงควรงด เนื้อสัตว์ให้รับประทานเนื้อปลาเป็นหลัก
  2. แป้งหรือคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ข้าว กวยเตี๋ยว วุ้นเส้น บะหมี่ เผือก มัน ขนมจีนผู้ป่วยควรรับประทานหมู่นี้ให้มาก ยกเว้นไตวายจากโรคเบาหวานต้องปรึกษาแพทย์
  3. ไขมัน หลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์เช่น มันหมู มันไก่ มันเป็ด น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม กะทิ แกงต่างๆ เครื่องใน ขาหมู หนังไก่ ไก่ตอน มันไก่ให้ใช้น้ำมันถั่วเหลืองแทน หลีกเลี่ยงอาหารหรือขนมที่องใส่กะทิ

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ผลดีหรือผลเสียกับการดื่มกาแฟ


กาแฟ
หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความ
ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก
กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบ ดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ากาแฟจะทำให้มีการหลั่งสาร cortisone และ adrenaline ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ปริมาณcaffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ Milligrams of Caffeine
ผลดีของกาแฟ
กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในกาทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไข้หวัดผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ
กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกาย ไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ การดื่มกาแฟจะเพิ่มความสามารถในการออกกำลังกายหรือไม่
จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น แต่การศึกษาดังกล่าวศึกษาในผู้ชาย คำแนะนำอาจจะดื่มกาแฟสักแก้ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย หากดื่มมากกาแฟจะออกฤทธิ์เสมือนยาขับปัสสาวะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ปริมาณกาแฟที่ขับออกมาทางปัสสาวะหากมากกว่า 12 micrograms/mlจะถูกห้าม(เท่ากับการดื่มกาแฟ 4 แก้ว)
ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่
องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย
ดื่มกาแฟแค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากไป การดื่มกาแฟ 2-4 แก้วอาจจะไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ แต่หากดื่มมากไปอาจจะมีผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้ หากดื่มกาแฟมากเกินไป 4-7แก้วอาจจะเกิดผลเสียอะไรบ้าง นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย สับสน อารมณ์แปรปวน คลื่นไส้อาเจียนและอาการทางเดินอาหาร ใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้อกระตุก ปวดสีรษะ วิตกกังวล หากท่านเกิดอาการดังกล่าวแสดงว่าท่านดื่มกาแฟมากเกินไป สำหรับท่านที่ดื่มกาแฟประจำเมื่อหยุดดื่มไป 12-24 ชม ก็จะเกิดอาการของการหยุดการแฟ อาการจะคงอยู่ประมาณ 24 ชม อาการดังกล่าวจะหายไป ยาที่เรารับประทานจะมีผลต่อกาแฟหรือไม่ ยาหรือสมุรไพรบางชนิดอาจจะส่งผลต่อระดับกาแฟอินในร่างกาย ผู้ที่รับประทานยา Ciprofloxacin (Cipro)หรือ norfloxacin อาจจะทำให้ระดับกาแฟในเลือดสูงขึ้นทำให้เกิดอาการข้างเคียง ผู้ที่ทานยาขยายหลอดลม เช่น Theophylline จะออกฤทธิ์เหมือนกาแฟ อาจจะทำให้เกิดอาการใจสั่นสำหรับผู้ที่รับประทานสมุนไพร Ephedra (ma-huang) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดปกติหรือชัก หากรับร่วมกับกาแฟจะเพิ่มความเสี่ยงดังกล่าว
ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ
โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้นกาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระการดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวลการดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว
กาแฟกับสุขภาพของสตรี
กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น
สมาคมสูติของอเมริกาแนะนำสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ก็สามารถดื่มได้ไม่เกินวันละหนึ่งแก้วโดยไม่ทำให้คลอดก่อนกำหนด หรือเกิดอาการแท้ง แต่หากดื่มมากกว่านี้มีรายงานว่าอาจจะเกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์
กาแฟกับโรคกระดูกพรุน
ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป
กาแฟกับโรคมะเร็ง
มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง
มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย
มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋
กาแฟกับโรคหัวใจ
เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ
กาแฟกับความดันโลหิตสูง
การดื่มกาแฟ 2-3แก้วจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มได้ 3-14/4-13 แต่ยังไม่ทราบกลไกที่ทำให้ความโลหิตสูงขึ้น สำหรับผู้ที่ดื่มเป็นประจำความดันโลหิตอาจจะไม่สูง คำแนะนำ สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรจะลดปริมาณกาแฟลงไม่เกินสองแก้วต่อวัน และควรจะงดดื่มในกรณีที่ความดันจะสูง เช่น การออกกำลังกาย การทำงานหนัก ท่านอาจจะทดสอบว่ากาแฟมีผลต่อความดันหรือไม่โดยวัดความดันโหอต 30 นาทีหลังจากดื่มกาแฟ หากสูงขึ้นควรจะลดหรือเลิก
กาแฟกับโรคเบาหวาน
จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

เชอร์รี่ อมาเร็ตโต มอคคา (Cherry Amaretto Mocha)ส่วนผสม น้ำเชื่อมกลิ่นช็อกโกแลต 1 ออนซ์
น้ำเชื่อมกลิ่นเชอร์รี่ 1 ออนซ์
น้ำเชื่อมกลิ่นอมาเร็ตโต 1 ออนซ์
เอสเปรสโซ 2 ช็อท
นมร้อนและฟองนม
ผงวานิลาสำหรับตกแต่ง
วิธีทำ ผสมเอสเปรสโซกับน้ำเชื่อมทั้งหมดให้เข้ากัน เติมนมร้อน และปิดหน้าด้วยฟองนม แล้วโรยผงวานิลา
 ราสเบอร์รี่ทอร์ท คาปูชิโน (Raspberry Torte Cappuccino)ส่วนผสม น้ำเชื่อมกลิ่นราสเบอร์รี่ 1 ออนซ์

Crème de cacao ½ vvo:N
เอสเปรสโซ 2 ช็อท
นมร้อนและฟองนม
วิธีทำ ใช้ถ้วยขนาด 12 ออนซ์ ผสมน้ำเชื่อมและเอสเปรสโซ เติมนมร้อนและปิดหน้าด้วย ฟองนม
 ไอริชครีม อเมริกาโน (Irish Cream Americano)ส่วนผสม (ส่วนผสมในถ้วย 12 ออนซ์) น้ำเชื่อมไอริชครีม ½ ออนซ์
น้ำเชื่อมกลิ่นเหล้ารัม ½ ออนซ์
เอสเปรสโซ 1 ช็อท
นมพร่องมันเนย 1 ออนซ์
วิธีทำ ผสมเอสเปรสโซกับน้ำเชื่อม เติมน้ำร้อนให้พอดี ¾ ของถ้วย แล้วใส่นมพร่องมันเนย แต่งหน้าด้วยวิปครีม
 แอปเปิ้ลพาย แลตเต้ (Apple Pie Latte)ส่วนผสม น้ำเชื่อมกลิ่นแอปเปิ้ล 1 ออนซ์
น้ำเชื่อมผสมอบเชย
เอสเปรสโซ 1 ช็อท
นมร้อนและฟองนม
อบเชยสำหรับตกแต่ง
วิธีทำ ใช้ถ้วยขนาด 8 ออนซ์ ผสมน้ำเชื่อมและเอสเปรสโซ เติมนมร้อน ตักฟองนมวางไว้ด้านบนแล้วโรยด้วยอบเชย
อัลมอนด์ บัตเตอร์สก็อต แลตเต้ (Almond Butterscotch Latte)
ส่วนผสม บัตเตอร์สก็อตแต่งหน้าไอศกรีม ½ ออนซ์
ช็อกโกแลตสำหรับแต่งหน้า ½ ออนซ์
น้ำเชื่อมกลิ่นอัลมอน ½ ออนซ์
เอสเปรสโซ 1 ช็อท
นมร้อนและฟองนม
วิธีทำ ใช้ถ้วยขนาด 8 ออนซ์ ผสมน้ำเชื่อม และเอสเปรสโซ เติมนมร้อนลงไปและตักฟองนมวางด้านบน

แหล่งที่มา : http://www.sainampingcoffee.com/
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เมนูเครื่องดื่มสำหรับคน ประจำเดือนมาไม่ปกติ

เครื่องดื่มแก้วนี้ มีส่วนผสมของ องุ่น ผลไม้ที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้แก่กระบวนการเผาผลาญอาหาร ดีต่อเลือดลม ช่วยขับปัสสาวะ และอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี กรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก (หรือสารต่อต้านริ้วรอย พบมากใน องุ่น บลูเบอร์รี แครนเบอร์รี) และกรดทาร์ทาริก ตัวช่วยชะล้างของเสียที่สะสมอยู่ในร่างกาย
บีทรูต มีสรรพคุณในการทำความสะอาดตับและลำไส้ตอนล่าง ดีต่อตับและไต ช่วยบำรุงรักษาเซลล์เม็ดเลือดแดง และเสริมความสามารถในการรับออกซิเจนให้แก่เม็ดเลือดแดงถึง 400 เปอร์เซ็นต์ จึงช่วยทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 บี2 บี6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม และสังกะสี
ส่วน ลูกพลัม หรือ ลูกพรุน หรือ ลูกไหน ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ จริง ๆ แล้วเป็นผลไม้ชนิดเดียวกัน เพียงแต่ลูกพรุนคือผลจากการนำลูกพลัมมาตากแห้ง ส่วนลูกไหน ก็เป็นชื่อที่คนจีนเรียกขานลูกพลัมนั่นเอง ในลูกพรุน มีคุณค่าอาหารสูงมาก อุดมไปด้วยไฟเบอร์ (เส้นใย) แมกนีเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี สำหรับสาว ๆ ที่อยากลดน้ำหนักกินลูกพรุนเยอะ ๆ จะดีมาก เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย และยังเป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้ดีชะงัด
ส่วนผสมเครื่องดื่มสำหรับผู้ที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ
1.บีทรูต 1 ถ้วย
2.องุ่นม่วง 1 ถ้วย
3.ลูกพลัม 1 ถ้วย
4.น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย
วิธีทำ
นำองุ่นม่วงผ่าครึ่ง ไม่ต้องเอาเมล็ดออก หั่นบีทรูตเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า หั่นลูกพลัมเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ (เป็นเครื่องมือที่ทำงานโดยการขูดผักและผลไม้ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ อย่างรวดเร็ว แล้วทำการหมุนด้วยความเร็วสูง เพื่อแยกส่วนที่เป็นน้ำออกจาก “กาก” โดยส่วนที่เป็นน้ำจะถูกแยกออกไปทางช่องที่ไหลไปสู่แก้วรองรับ ในขณะที่ส่วนของกากจะถูกเก็บไว้ในช่องสำหรับรอการกำจัดทิ้งในภายหลัง) แล้วเสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งป่นคล้ายเกร็ดหิมะ เพื่อเพิ่มความเย็นสดชื่นให้มากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว หากไม่มั่นใจว่าเมนูนี้จะเหมาะสมหรือไม่ หรือมีข้อจำกัดทางด้านร่างกายที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ การเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพื่อการมีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง
มีเมนูสำหรับผู้ชื่นชอบโยเกิร์ตด้วยค่ะ
โยเกิร์ตลูกพรุน 
วิธีทำโยเกิร์ตลูกพรุน 
ส่วนผสม
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ  1กระป๋อง
น้ำลูกพรุน  1/2  ถ้วย
ลูกพรุน  4-5  เม็ด
วีทเจิร์ม (Wheatjerm) หรือมูสลี่ ตามชอบ   วิธีทำโยเกิร์ตลูกพรุน
1.แช่ลูกพรุนในน้ำลูกพรุนข้ามคืนไว้
2.ตักโยเกิร์ตใส่ชาม โดยด้วยลูกพรุนและน้ำลูกพรุน โรยต่อด้วยมูสลี่หรือวีทเจิร์ม รับประทานได้ทันที
น้ำลูกพรุน วิธีทำน้ำลูกพรุน
ส่วนผสม
ลูกพรุน 1 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 8 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
- ลูกพรุนแกะเมล็ดออก ผสมน้ำนำไปต้มให้เปื่อย
- เอาเนื้อลูกพรุนยีให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ
- ผสมเกลือ น้ำตาลทราย คนให้ละลาย ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง
- เสิร์ฟเย็นคู่กับน้ำแข็งทุบ


แหล่งที่มา : http://www.foodietaste.com
 http://boommusa.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อาหารบำรุงครรภ์ ดื่มน้ำมะพร้าวช่วงท้อง ดีจริงหรือ?


ดื่มน้ำมะพร้าวช่วงท้อง ดีจริงหรือ ? 
ยามตั้งครรภ์ คุณแม่จะได้รายชื่อสารพัดอาหารบํารุงครรภ์ จากทุกสารทิศ หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้น ‘น้ำมะพร้าว’ เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มสําหรับคนท้องเลยก็ว่าได้ ด้วยสรรพคุณที่ได้ยินกันมาว่า เป็นน้ำที่สะอาด ดื่มเข้าไปแล้ว จะทําให้เด็กในท้อง ตัวสะอาด คลอดออกมาแล้วลูกจะผิวสะอาด ไม่มีไขมันติดตามตัว ฉบับนี้เราได้หาคําตอบ มาให้คุณแม่กันค่ะ
ดื่มน้ำมะพร้าว ลูกในท้องตัวสะอาด
   จากการสอบถาม นพ.อนันต์ โลหะพัฒนะบํารุง กุมารแพทย์ คุณหมอได้ให้ความเห็นในเรื่องน้ำมะพร้าวว่า “ในน้ำมะพร้าวมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันอิ่มตัวก็มี มีทั้งสองอย่าง ซึ่งเป็นข้อดี เพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดื่มน้ำมะพร้าว จะทําให้การสร้างไขตัวเด็กได้สีค่อนข้างขาว เลยอาจจะดูว่าเด็กออกมาตัวสะอาด คงไม่ใช่ออกมาแล้วเด็กไม่มีไข จริงๆ แล้วไขตัวเด็กนี้มีประโยชน์มาก เพราะจะทําให้เด็กคลอดง่าย ฉะนั้นคุณแม่ที่ดื่ม
น้ำมะพร้าวบ่อยๆ อาจจะทําให้ไขตัวเด็กมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่สีจะสะอาด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร เนื่องจากเป็นธรรมชาติที่เด็กต้องมีไขมันห่อหุ้มตัว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิจากภายนอกด้วย”
ในน้ำมะพร้าวมีอะไรบ้าง
เอ่ยถึงในแง่ธรรมชาติบําบัด น้ำมะพร้าว เป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีแร่ธาตุสําคัญต่อร่างกาย ได้แก่ โปรตีน น้ำตาล แคลเซียม โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส และไขมันที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย แถมน้ำมะพร้าว ยังเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เหมือนใครตรงที่ มะพร้าวมีลําต้นสูง กว่าต้นมะพร้าวน้ำจะออกดอกเป็นผล มีน้ำให้ได้ดื่มกัน ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ มาแล้ว คนไทยจึงถือว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์มาก
ประโยชน์มากมาย
น้ำมะพร้าว สามารถดื่มเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้นิ่ว บํารุงเส้นเอ็น บํารุงกระ
ดูก มีฤทธิ์เป็นกลาง สามารถขับพยาธิ ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสจากน้ำมะพร้าวไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทําให้ร่างกายสดชื่น (ใครชื่นชอบน้ำอัดลมเพื่อดับกระหาย ลองเปลี่ยนเป็นน้ำมะพร้าวเย็นๆ สักแก้ว)
อาหารทุกชนิดถึงแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ต้องมีข้อยกเว้น อย่างคนเป็นโรคไต โรคเบาหวานไม่ควรดื่มมาก และการซื้อน้ำมะพร้าวดื่ม ควรเลือกน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นลูก ไม่ควรซื้อที่บรรจุขวดขาย ถ้าไม่แน่ใจในความสะอาด และสารฟอกขาวต่างๆ ที่สามารถฉีดใส่เข้าไปได้ (ส่วนมากพบในมะพร้าวเผา)
เมนูน้ำมะพร้าวปั่น

น้ำมะพร้าวน้ำผลไม้ที่หาดื่มได้ไม่ยาก นอกจากความหวานหอมของมะพร้าวน้ำหอมแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วยนะค่ะ เพราะน้ำมะพร้าวอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลากหลายชนิดเช่น โพแทสเซียส แคลเซียม โซเดียม และน้ำตาลที่อยู่ในน้ำมะพร้าวนั้นร่างกายยังสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้เลยอีกด้วย
วัตถุดิบ:
1. น้ำมะพร้าวน้ำหอม 2 ลูก
2. น้ำเปล่าประมาณ 1 ลิตร
3. น้ำใบเตย 4 - 5 ใบ
4. เนื้อมะพร้าวอ่อน
ขั้นตอนการทำ
1. ต้มน้ำโดยใส่ใบเตยลงไปต้มด้วยเลย รอจนน้ำเดือด ตักใบเตยออก
2. ใส่น้ำมะพร้าวอ่อน เนื้อมะพร้าวอ่อน ลงไป
3. ค่อยๆ เติมน้ำทรายลงไป ปริมาณตามชอบ
Blue Coconut (Mother & Care)

ส่วนผสม 
1. น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ผล
2. น้ำแข็ง 2 ถ้วยตวง
3. น้ำเชื่อม / น้ำหวานสีต่าง ๆ (กะปริมาณตามชอบ)
วิธีทำ
1.หากซื้อมะพร้าวมาเอง ให้นำผ้าขาวบางมากรองน้ำมะพร้าวก่อน เพื่อป้องกันเศษมะพร้าวที่อาจหล่นลงไปในน้ำ
2.เตรียมเครื่องปั่นให้เรียบร้อย จากนั้นนำน้ำแข็ง น้ำมะพร้าว และน้ำเชื่อม หรือน้ำหวานใส่ลงไปพร้อมกัน กดปั่นจนน้ำแข็งละเอียดหมด
สามารถนำเนื้อมะพร้าวมาปั่นรวม หรือตักใส่น้ำปั่นเป็นชิ้น ๆ ตามชอบ
หากชอบกลิ่นหอม ๆ ของน้ำมะพร้าว ให้ใส่น้ำเชื่อมลงไป เพื่อเพิ่มความหวานเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าอยากปรับเปลี่ยนให้น้ำมะพร้าวปั่นคลายร้อนแก้วนี้มีสีสันและกลิ่นหอมแตกต่างจากแบบเดิม ๆ ให้ใช้น้ำหวานที่แต่งกลิ่นและสีจากธรรมชาติมาผสมปั่นเข้าไปแทนน้ำเชื่อม

ข้อมูลดีๆ จาก : http://www.mom2kids.com