หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

5 เมนูไข่..อุ่นไอรัก

วันนี้จะเอาเมนูไข่สารพัดไข่มาฝากกันค่ะ เราจะเน้นไข่เพื่อสุขภาพ จะได้ทานกันให้อิ่มใจกันไปเลยค่ะ รับรองว่าจะไม่ผิดหวัง เพราะจะมีผักเป็นเป็นส่วนประกอบค่ะ

1. ไข่เจียวผักคื่นช่าย
ส่วนผสมอาหาร
 1. ไข่ไก่3 ฟอง
2. ผักคื่นช่ายซอย1/2 ถ้วย
3. ซีอิ้วขาว1 ช้อนโต๊ะ
4. ซอสหอยนางรม1 ช้อนชา
5. พริกไทยป่น1/2 ช้อนชา
6. น้ำมะนาว1/2 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำมันพืช
วิธีทำอาหาร1.ตอกไข่ใส่ชาม ใช้ส้อมตีไข่ให้แหลก ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว ซอสหอยนางรม และพริกไทยป่น
2.จากนั้นใส่ผักคื่นช่ายลงไป และน้ำมะนาวลงไป คนให้ผสมกัน
3.นำกระทะแบนใส่น้ำมัน ยกขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟกลาง พอร้อนเทไข่ลงไปทอดให้สุกเหลือง
4.ตักไข่ขึ้นพักบนเขียง แล้วม้วนพับไข่ให้เป็นหลอดแบน จากนั้นตัดไข่เหมือนเราตัดซูชิ มีความหนาประมาณ 1 นิ้ว
5.เสร็จแล้วจัดไข่เจียวคื่นช่ายใส่จาน เสิร์ฟพร้อมซอสพริก ทานร้อนๆ ได้เลยค่ะ
 น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ

2.ไข่เจียวเห็ดโคนหลวงผักโขม
 -เห็ดโคนหลวง หรือเห็ดชิเมจิ หั่นรากทิ้งไว้โคน 1 ถ้วย
- ผักโขมหั่น 1 ถ้วย
- ไข่ 3 ฟอง
- ซีอิ้วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ เล็กน้อย
- พริกไทยดำ เล็กน้อย
- ชีสบด (mozzarella cheese) 2 ช้อนโต๊ะ
- มะเขือเทศหั่นลูกเต๋า 1/2 ลูก
วิธีทำ1. ตอกไข่ลงในชาม พร้อมด้วยพริกไทย และเกลือ ตีให้เข้ากัน
2. ตั้งกะทะ*ด้วยไฟกลางถึงไฟแรง เทน้ำมันมะกอก 1/2 ช้อนโต๊ะลงในกะทะ จากนั้นรอจนน้ำมันร้อนได้ที่ ใส่เห็ดและผักโขมลงผัดประมาณ 2 นาที หรือจนผักสุก ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วตักขึ้นพักไว้
3. นำกะทะ*ใบใหม่ตั้งไฟ (หรือจะใช้กะทะใบเดิมก็ได้ แต่ควรล้างกะทะให้สะอาดเสียก่อน) ตั้งไฟกลางถึงไฟแรงเช่นเดิม เทน้ำมันมะกอกที่เหลือลงกะทะ รอให้ร้อน จากนั้นเทไข่ลงกะทะแล้วหมุนกะทะให้ไข่แผ่ออกเป็นวงกลมทั่วกะทะ
4. เมื่อไข่ใกล้สุกให้กลับไข่ เพื่อให้ไข่ด้านบนได้โดนความร้อนของกะทะ เมื่อไข่สุกทั้งสองด้านดีแล้ว เบาไฟ และให้ใส่เห็ดและผักโขมที่เราผัดพักไว้ ลงบนไข่เจียวที่อยู่ในกะทะ โรยด้วยชีสให้ทั่ว จากนั้นพับไข่ครึ่งหนึ่ง โดยให้ไข่เจียวเป็นรูปครึ่งวงกลม ตักใส่จาน โรยด้วยมะเขือเทศหั่นลูกเต๋าที่เตรียมไว้ พร้อมเสริ์ฟ
* ควรเป็นกะทะเทฟลอน เพราะไม่ต้องใช้น้ำมันเยอะและอาหารจะไม่มัน ดีต่อสุขภาพค่ะ

3. ไข่เจียวดอกขจร


ส่วนประกอบ
1. ดอกขจร 1 กำ
2. ไข่ไก่     3 ฟอง
3, น้ำมันพืช  2 ช้อนโตํะ
วิธีทำ
1, ตีไข่ไก่สองใบ ให้ขึ้นฟู ใส่ดอกขจรที่ลวกจนสุกลงไป
2. ตั้งกะทะ ใส่น้ำมัน รอให้น้ำมันเดือด ก็ใส่กระเทียมหั่นลงไป พอกระเทียมเริ่มสุก ใส่ไข่เจียวดอกขจร ลงไปทอดจนไข่เจียวสุก พลิกกลับให้สุกทั่วกันทั้งสองด้าน ยกลง จัดใส่จานทานกับข้าว
สวยร้อนๆ นุ่ม จะทานกับซอสพริกศรีราชา ก็อร่อย

 4.ไข่เจียวดอกโสน

ส่วนประกอบ1. ดอกโสน 1 กำมือ
2. ไข่ไก่ 3 ฟอง
3. น้ำมันพืช
วิธีทำ
1, ตีไข่ไก่สองใบ ให้ขึ้นฟู ใส่ดอกโสนที่เด็ดเอาเฉพาะดอกใส่ลงไป
2. ตั้งกะทะ ใส่น้ำมัน รอให้น้ำมันเดือด ก็ใส่กระเทียมหั่นลงไป พอกระเทียมเริ่มสุก ใส่ไข่เจียวดอกโสน ลงไปทอดจนไข่เจียวสุก พลิกกลับให้สุกทั่วกันทั้งสองด้าน ยกลง แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วค้ะ



5. ไข่เจียวฝรั่งใส่เห็ดและชีส
เครื่องปรุง
1. เห็ดนางฟ้าหรือเห็ดอื่นๆตามชอบใจ 1 ขีด
2. เนย Clarify 1/2 ถ้วยตวง
3. หอมแดงสับ 1 ช้อนชา
4. เนยแข็งขูด เชดดาร์ชีส 30 กรัม
5.ไข่ไก่ 3 ฟอง
6, นม 3-4 ช้อนโต๊ะ
7. เกลือ พริกไทย พอประมาณ

วิธีทำ
1. นำกระทะตั้งไฟ ใส่เนย Clarify 2 ช้อนโต๊ะ
2. เมื่อกระทะร้อน นำเห้ดลงไปผัดกับหอมสับ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย แล้วตักออกพักไว้
3. นำกระทะตั้งไฟ นำเนย Clarify ใส่ลงไปให้ร้อน ประมาณ 4-5 ช้อนโต๊ะ
เมื่อร้อนให้นำไข่ไก่ที่ตีจนเข้ากันกับนม หรือครีม ลงไปในกระทะ คนให้ข้น แล้วกระจายไข่ให้ทั่วกระทะ
4. ลดไฟอย่าให้ไข่ไหม้หรือเหลือง ตักเห็ดใส่แล้วโรยด้วยเชดดาร์ชีสขูดฝอย
5. แล้วค่อยๆ เคาะกระทะ เพื่อม้วนไข่ให้เป็นห่อกลมๆ เรียวๆ ยาวๆ

แหล่งที่มา : ขอบคุณผู้บอกเล่า
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

อาหารเจเพื่อสุขภาพ

เกี๊ยวทอดไส้ผัก

ถั่วงอกเด็ดหาง 1/2 ถ้วยเครื่องปรุงแผ่นเกี๊ยว 30 แผ่น
เต้าหู้ขาว 1 แผ่นกะหล่ำปลีหั่นฝอย 1/2 ถ้วย
แครอทไสเป็นเส้นเล็กๆ 1/4 ถ้วย
แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1/4 ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำมันงา 1/2 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทอด 2 ถ้วย
เครื่องปรุงน้ำจิ้ม
น้ำสลัดน้ำข้น 2 ช้อนโต๊ะ
หอมใหญ่สับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/2 ช้อนชา
งาคั่ว 1 ช้อนชา
ซอสพริก 1 ช้อนชา
วิธีทำน้ำจิ้มผสมเครื่องปรุงทั้งหมดเข้าด้วยกัน หรือจะใช้ซอสพริกเป็นน้ำจิ้มก็ได้
วิธีทำอาหารเจ
ยีเต้าหู้ให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่น้ำตาล ซีอิ๊วขาว เกลือ แป้งข้าวโพด ผสมให้เข้ากัน ผัดผักทั้งสามชนิดกับน้ำมันจนผักสุกนิ่ม ใส่เต้าหู้ผัดให้เข้ากัน ตักออกให้เย็น ตักผักที่ผัดประมาณ 1 ช้อนชา วางลงบนแผ่นเกี๊ยวแต่ละแผ่น ห่อไส้ด้วยแผ่นเกี๊ยวให้สนิท ใช้น้ำทาริมแผ่นเกี๊ยวบีบริมให้แน่น
วิธีห่ออาหารเจ
ใส่ไส้ตรงกลางพับมุมตรงข้ามเข้าหากัน ใช้น้ำแตะริมแผ่นเกี๊ยว บีบให้แน่น จะได้เกี๊ยวรูป 3 เหลี่ยม ใส่ไส้ตรงกลางพับมุมตรงข้าม แล้วจึงจับด้านซ้ายขวาตรงส่วนฐานเข้าหากัน ทาน้ำบีบเบาๆ จะได้เกี๊ยวคล้ายรูปดอกไม้คือตรงส่วนริมไม่ติดกัน ใส่ไส้ตรงกลาง พับด้านตรงข้ามเข้าหากันแล้วจึงทาน้ำหัวท้ายแผ่นเกี๊ยว พับให้แน่น จะได้เกี๊ยวรูปสามเหลี่ยมผืนผ้า ใส่น้ำมันลงในกะทะ พอน้ำมันร้อนใส่ตัวเกี๊ยวทอดให้กรอบเหลือง ตักออกให้สะเด็ดน้ำมัน กินกับน้ำจิ้ม ใช้เป็นอาหารว่างกินกับเครื่องดื่ม

ผัดโหงวก้วย

ส่วนผสม
1. เต้าหู้แข็งหั่นเต๋า
2. แครอท
3. พริกหวานเขียว/แดง
4. แห้ว
5. แปะก้วย
6. พุทราจีนเชื่อม
7. เกาลัด

สูตรวิธีการทำอาหารไทย-อาหารเจ-ผัดโหงวก้วย1. ทอดเต้าหู้ให้กรอบ แล้วพักไว้
2. ผัดแครอทให้สุกพอประมาณ ตามด้วยเต้าหู้ทอด และพริกหวานทั้ง 2 สี
3. ปรุงรสด้วยซอสเห็ดหอม น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส
4. จากนั้นเติมพริกไทย และน้ำมันงาเล็กน้อย
5. ผัดจนกระทั่งซอสต่างๆ ข้นขึ้น
6. ใส่ส่วนประกอบที่เหลือทั้งหมด คลุกให้ซอสเคลือบให้ทั่วกัน
8. เม็ดมะม่วงหิมพานต์

ผัดเขียวหวานเจ

ส่วนผสม
1. เต้าหู้แข็ง
2. โปรตีนเกษตรชนิดแผ่นกลมเล็ก
3. หมี่กึง
4. กะทิ
5. พริกแกงเขียวหวานเจ
6. ยอดมะพร้าว
7. มะเขือ
8. พริกเม็ดใหญ่
9. โหระพา
10.ใบมะกรูด
วิธีการผัดเขียวหวาน1. นำโปรตีนเกษตรแช่น้ำให้เรียบร้อย เมื่อนิ่มดีแล้ว ก็จัดการหั่นเป็นชิ้น รวมทั้งหมี่กึงและเต้าหู้ด้วย
2. หั่นมะเขือเป็นชิ้นพอคำ แล้วแช่น้ำเกลือ
3. พริกเม็ดใหญ่หั่นแฉลบๆ เด็ดใบโหระพา
4. เริ่มผัดพริกแกงเขียวหวานในน้ำมันให้มีกลิ่นหอม
5. ใส่เต้าหู้ หมี่กึง และโปรตีนเกษตรลงผัด เติมกะทินิดนึง ผัดไปให้สุกดี ใส่ยอดมะพร้าวกับมะเขือตามลงไป
6. ผัดให้เข้ากัน ปรุงรสโดยใส่เกลือ ซีอิ๊วขาว ซอสเห็ดหอม และน้ำตาลทรายเล็กน้อย
7. เติมกะทิทั้งหมดลงไป คนให้เข้ากัน ตั้งไฟทิ้งไว้ให้เดือด หมั่นคน
8. ใส่พริก ใบมะกรูด และ ใบโหระพา ผัดให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จ

ต้มจับฉ่ายเจ

ส่วนผสม
1. เต้าหู้เหลือง
2. โปรตีนเกษตร
3. ฟองเต้าหู้แบบแท่ง
4. ผักกวางตุ้ง
5. ผักคะน้า
6. กะหล่ำปลี
7. หัวไชเท้า
8. แครอท
9. เห็ดหอม
10. เห็ดนางรม
11. คนอร์รสเห็ดหอม 1 ก้อน
***ของทุกอย่างเราจะทอดหรือผัด ก่อนที่จะนำไปต้มเป็นจับฉ่ายนะคะ***
-การทอดพวกเต้าหู้ก่อน จะทำให้เวลาต้มมันจะไม่เละเกินไป
-การผัดผักก่อน จะทำให้ต้มจับฉ่ายมีกลิ่นหอมขึ้น
วิธีทำต้มจับฉ่าย1. แช่เห็ดหอมก่อนเป็นอับดับแรก หั่นเต้าหู้เป็นชิ้นเล็กๆ
2. ทอดเต้าหู้ให้เหลืองๆ
3. ทอดโปรตีนเกษตรให้เหลืองๆ
4. ของทั้งหมดที่ทอดเสร็จแล้ว ใส่จานพักไว้ก่อน ตามรูปด้านบนนะคะ
5. ต่อไปเป็นการผัดผักนะคะ (ทั้งหมดผัดกับน้ำมันร้อนๆ นะคะ)ผัดทีละชุดนะคะ
6. ชุดที่ 1 ผัด แครอท หัวไชเท้า ก้านคะน้า
7. ชุดที่ 2 ผัด เห็ดนางรม
8. ชุดที่ 3 ผัด กะหล่ำปลีและใบคะน้า
9. ชุดที่ 4 ผัด เห็ดหอม
10. ชุดที่ 5 ผัด ผักกวางตุ้ง ,จะมีรูปของที่ผัดเสร็จแล้วใส่ถ้วยให้ดู 2 รูปก่อนรูปตั้งหม้อต้มน้ำนะคะ
11. ตั้งน้ำให้เดือด ใส่ คนอร์รสเห็ดหอม 1 ก้อน
12. ปรุงรสโดยใส่เกลือเล็กน้อย ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส และน้ำตาลทรายนิดหน่อย ให้ได้รสเค็มๆ หวานๆ
13. ใส่ผักแข็งก่อน พอต้มไปซักพักก็ใส่ผักทั้งหมดตามลงไป
14. รอให้เดือดซักรอบนึง แล้วก็ใส่ของทอดทั้งหมดค่ะ
15. กดให้มันจมลงไปนะคะ
16. จากนั้นตั้งไฟอ่อนๆ ทิ้งไว้ได้เลย จะได้เปื่อยๆ

เต้าหู้ทอดราดซอสส้ม
\
ส่วนผสม
1. เต้าหู้เหลืองนิ่ม หั่นเป็นชิ้นพอคำ
2. น้ำส้มคั้น
3. เนื้อส้มหั่น
4. น้ำมะนาว
5. เกลือ
6. พริกไทย
7. แป้งข้าวโพดละลายน้ำ สำหรับทำซอสส้ม


สูตรวิธีการทำอาหารไทย-อาหารเจ-เต้าหู้ทอดราดซอสส้ม1. ทอดเต้าหู้ให้กรอบนอกนุ่มใน เมื่อทอดได้ที่แล้ว พักไว้
2. แล้วมาเริ่มทำซอส โดย ผสมน้ำส้มคั้น, เนื้อส้มหั่น, น้ำมะนาว, เกลือ, พริกไทย แล้วคนให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ
3. คนจนกระทั่งเดือดดี ใส่น้ำแป้งข้าวโพด คนเร็วๆ จนซอสส้มข้นขึ้น
4. จัดเต้าหู้ทอดใส่จาน แล้วราดด้วยซอสส้ม เป็นอันเสร็จ
ขอขอบคุณ : OkThaiFood.com

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข้าวผัด..จัดหนัก 5 อย่าง เมนูสุขภาพดี

สวัสดีค่ะ วันนี้นำเมนู ข้าวผัด จัดหนัก 5 อย่าง เมนูสขภาพดีมาฝากให้ทำ รับประทานกันภายในครอบครัวในวันหยุด หรือว่าวันอยากจะรับประทานค่ะ แล้วแต่แม่บ้านหรือพ่อบ้านท่านไดจะทำทานกันค่ะ

เมนูที่ 1 ข้าวผัดดอกอัญชันไก่ทอดตะไคร้กรอบ (DINNING IN - savoury cake)

หุงข้าวก่อนโดยใส่ข้าวประมาณ 2 ถ้วยและน้ำสะอาดตามปกติ เพิ่มดอกอัญชันสด 5-6 ดอกเด็ดขั้วสีเขียวออกแล้วใส่ลงในหม้อหุงข้าวด้วย เมื่อข้าวสุกแล้วใช้ไม้พายคนก็จะได้ข้าวสีน้ำเงินสวย สำหรับทำข้าวผัดให้นำข้าวมาตากแผ่ไว้เพื่อให้เย็นและไม่แฉะจะได้ผัดข้าวอร่อย
หั่นเนื้อไก่อกหรือสะโพก 200 กรัม เป็นชิ้นพอคำหมักกับตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนชา น้ำตาล 1/2 ช้อนชา แป้งมัน 1/2 ช้อนชา และน้ำมัน 1/2 ช้อนชา หมักไว้สักชั่วโมงหนึ่ง ระหว่างรอให้ซอยตะไคร้สำหรับทอดไว้กำมือใหญ่ การซอยตะไคร้ให้บางจะได้ตะไคร้ทอดที่กรอบและไม่เหนียว
ตั้งน้ำมันสำหรับของทอดก่อน โดยทอดเครื่องเคียงคือเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้เหลืองทองและใส่กระชอนสะเด็ดน้ำมันไว้ สำหรับตะไคร้ให้คลุกกับเกลือทะเลและแป้งอเนกประสงค์ให้เข้ากัน ใส่ตะไคร้ทอดในน้ำมันทีละน้อยให้เหลืองทองและใส่กระชอนสะเด็ดน้ำมันไว้เช่นกัน
เทน้ำมันออกจากกระทะให้เหลืออยู่แค่ 2 ช้อนชา ใส่ไก่pที่หมักไว้ลงทอดพอสุกเหลืองจึงใส่ข้าวดอกอัญชันลงไปผัดด้วย ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลอีกที จัดใส่จานรับประทานพร้อมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด พริกขี้หนูซอย มะนาว ประดับด้วย ดอกอัญชันสด ถ้าจะให้ครบชุดก็ดื่มด้วยน้ำมะนาวโซดาใส่ดอกอัญชัน ยกเสริฟได้ค่ะ

เมนูที่ 2 ข้าวผัดธัญพืช (Fried rice grains)

ส่วนผสม (Ingredient)
ข้าวกล้อง 1 ทัพพี (Brown rice)
ข้าวโพดหวาน 2 ช้อนโต๊ะ (Sweet corn)
แปะก๊วย 5-6 เมล็ด
เม็ดบัว 5-6 เมล็ด (Lotus seed)
ลูกเกด 1 ช้อนโต๊ะ (Currant)
กุ้งแชบ๊วย 5-6 ตัว (Shrimp)
กระเทียม 2-3 กลีบ (Garlic)
น้ำมันพืช ซีอิ๊ว น้ำปลา (Vegetable oil, C stops that, Fish sauce)
ต้นหอมผักชี มะนาว แตงกวา (Onion, Coriander, Lemon, Cucumber)
ขั้นตอนการทำ (Procedure)
บุบกระเทียมลงผัดกับน้ำมันพืช เอาเครื่องทุกอย่างลงผัดปรุงรสด้วยซีอิ๊วและน้ำปลา โรยหน้าด้วยผักชีและต้นหอมซอย เวลาจะกินบีบมะนาวลงไป กินกับแตงกวา


เมนูที่ 3 ข้าวผัดเม็ดบัว

เครื่องปรุงข้าวผัดเม็ดบัว
ข้าวสวย 2 ถ้วย
เห็ดหอมปรุงรสหั่นเสี้ยว 3 ดอก
เม็ดบัวแช่น้ำให้นึ่งนิ่มสุก ¼ ถ้วย
เนื้อไก่หั่นชิ้นพอคำ ¼ ถ้วย
กระเทียมแกะเป็นกลีบ 5 กลีบ
พริกไทยป่น ½ ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว ½ ช้อนโต๊ะ
น้ำมันหอย ½ ช้อนโต๊ะ
                                                                                     น้ำมัน 4 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำข้าวผัดเม็ดบัว
เคล้าไก่กับซีอิ๊วขาว ½ ช้อนโต๊ะ หมักไว้ประมาณ 10 นาที
ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่เนื้อไก่ เห็ดหอม กระเทียม เม็ดบัว ผัดให้เข้ากัน ใส่ข้าว ผัดพอทั่ว
ปรุงรสด้วยพริกไทย ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย ผัดให้เข้ากัน ทุกอย่างสุก ปิดไฟ
ตักข้าวผัดเม็ดบัวใส่จาน แต่งด้วยพริกชี้ฟ้าหั่นฝอย ผักชีเด็ดเป็นใบ รับประทานข้าวผัดเม็ดบัวพร้อมต้นหอม เสิร์ฟ
เมนูที่ 4 ข้าวผัดสมุนไพร
ส่วนผสม
เนื้อไก่200 กรม
ข้าวสวย3 ถ้วย
ข้าวโพดต้ม50 กรัม
แครอท 30 กรัม
หอมแดง50 กรัม (ซอยบาง)
ตระไคร้ 20 กรัม (ซอยบาง)
ขิงอ่อน (ซอยเส้นบาง) 50 กรัม
ใบมะกรูดหั่นฝอน 5 ใบ
มะนาว2.5 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับละเอียดด 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
ใบสระแหน่ 1/4 ถ้วยตวง
พริกขึ้หนูซอยบาง 1 ช้อนโต๊

วิธีทำ
1. นำแครอทมาลวง ล้างไก่แล้วหันเป็นชิ้นเล็กๆ
2. นำกระเทียมสับ น้ำมันใส่กระทะ เอาเนื้อไก่ลงผัดสักครู่พอสุก แล้วใส่ส่วนผสมทั้งหมด ยกเว้นใบสะระแหน่ ผัดให้เข้ากัน พอสุกได้ที่
ก็ตักใส่จาน โรยใบสระแหน่หน่อย แล้วยกเสริ์ฟได้เลย

เมนูที่ 5 ข้าวผัดทูน่า
วิธีทำ
ใส่น้ำมันลงกระเทียม แล้วตามด้วยผักตามใจชอบ ใช้ คะน้า แครอท มะเขือเทศ ผักเบสิคสำหรับคนที่ชอบทานผักนะค่ะ ผัดแปบนึงก็ตามด้วยไข่ไก่รอ​สุกๆนิดค่อยขยี้นะค่ะ แล้วตามด้วยทูน่า ปรุงรสตามชอบ แล้วตามด้วยข้าวสวยค่ะ


วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

10 อาหารลดความเครียด

สวัสดีเจ้าค่ะ วันนี้เรามีเมนูสุขภาพสุดยอดอาหารมาฝากกันนะค่ะ ใครที่ยังไม่รักษาสุขภาพก็เริ่มได้แล้วนะค่ะ เริ่มตั้งแต่วันนี้สุขภาพดีอ่อนวัยค่ะ....มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ..

10 อาหารลดความเครียด

1. ช็อกโกแลต : ความฉงนสนเท่ห์เกี่ยวกับช็อกโกแลตมีมากมาย บ้างก็ว่าดีต่อสุขภาพ บ้างก็ว่าอ้วนเพราะกินช็อกโกแลต จักราวุธ ภู่เสม อาจารย์ประจำภาควิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร แนะนำว่า ควรเลือกรับประทานประเภท ดาร์ค ช็อกโกแลต (Dark Chocolate) หมายถึงช็อกโกแลตที่ไม่มีนมและครีมเป็นส่วนผสมที่มากเกินไป ครีมเป็นส่วนผสมที่ให้ความหวาน ซึ่งทำให้คนบริโภคช็อกโกแลตประเภทนี้ง่ายขึ้น เมื่อบริโภคง่ายจนเกินพอดี ก็ทำให้เกิดภาวะโภชนาการเกิน ซึ่งทำให้เกิดปัญหาความอ้วน-น้ำหนักเกิน ดังนั้นถ้าจะกินช็อกโกแลต ให้กินช็อกโกแลตประเภท 'ดาร์ค ช็อกโกแลต' และช็อกโกแลตที่ให้ความหวานแต่น้อย
     ความจริงแล้ว ช็อกโกแลตเป็นอาหารแห่งความสุข เนื่องจากในช็อกโกแลตมีสารที่เรียกว่า Phenylethylamine ปกติสารเคมีตัวนี้สมองจะหลั่งออกมาขณะที่คนคนนั้นเกิดความรัก เว็บไซต์ 'ทาเลนท์ดีเวลอปดอทคอม' เผยแพร่ผลการศึกษา Dark Chocolate: The New Antianxiety Drug ของ ดร.เมอร์โคลา ที่ระบุการใช้ช็อกโกแลตบำบัดผู้ป่วยด้านอารมณ์ของคลินิกบำบัดแห่งหนึ่ง โดยพบว่าการกินดาร์ค ช็อกโกแลต จำนวนออนซ์ครึ่งทุกวันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดลงได้

         2. น้ำมะตูม : นอกจากเป็นไม้มงคล คนไทยรุ่นปู่ย่าตายายเชื่อว่า สรรพคุณเชิงสมุนไพร มะตูมเป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยความที่เป็นพืชในตระกูลที่ให้น้ำมันหอมระเหย กลิ่นผลมะตูมสุกจึงช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายนอกเหนือจากสรรพคุณแก้กระหายน้ำ ขับลมในลำไส้ ลดความดันโลหิตสูง

   อ.จักราวุธ แนะนำให้ระวังเมื่อนำผลมะตูมมาทำเป็นเครื่องดื่มและรับประทานเป็นของหวานแบบเชื่อมน้ำตาล เนื่องจากโดยธรรมชาติเนื้อมะตูมมีความเผ็ดร้อนและปร่า เพื่อขจัดรสชาติเหล่านี้ คนโบราณนิยมใช้น้ำตาลทรายเป็นจำนวนมาก ซึ่งนั่นทำให้ร่างกายได้รับภาวะโภชนาการเกินเช่นกัน
         
          3. กล้วยหอม : ช่วยคลายเครียดได้ดี เพราะกล้วยหอมเป็นแหล่ง 'ทริปโตฟาน' ชั้นยอด และยังมีน้ำตาลครบ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรักโทส และกลูโคส ซึ่งร่างกายพร้อมนำไปใช้งานได้ทันที เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี ลดสารพิษที่คั่งค้างในร่างกาย
  4. นมสด : หลายคนนิยมหรือได้รับคำแนะนำให้ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะทำให้นอนหลับง่าย (นางเอกในนวนิยายหลายเรื่องเชียวล่ะ) ข้อมูลเชิงวิชาการให้เหตุผลว่า เนื่องจากในนมสดมีสารอาหารประเภทแคลเซียม เมื่อแคลเซียมรวมตัวกับกรดแลกติกที่บริเวณปลายประสาท จะทำให้กรดแลกติกไม่สามารถก่อความระคายเคืองต่อระบบประสาทได้ จึงทำให้ไม่เกิดความเครียด หรือเครียดน้อยลง ที่สำคัญนมสดยังเป็นแหล่งของกรดอะมิโนที่ชื่อ 'ทริปโตฟาน' อีกเช่นกัน

          5. เนื้อสัตว์ : ร่างกายต้องการพลังงานและโปรตีนในการดำเนินชีวิตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เนื้อสัตว์ถือเป็นแหล่งอาหารที่ให้พลังงานที่สำคัญแหล่งหนึ่ง โดยเฉพาะสารอาหารประเภทโปรตีน ซึ่งร่างกายจะย่อยเพื่อให้ได้กรดอะมิโนต่อไป ที่สำคัญควรเลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน หรือติดมันแต่น้อย

          6. ไข่ไก่ : จัดอยู่ในแหล่งอาหารที่ให้โปรตีนสูง มีกรดอะมิโนครบที่ร่างกายต้องการ และยังมีเกลือแร่ วิตามินอื่นๆ ที่สำคัญมากมาย ไข่ไก่ 100 กรัม ไม่ว่าจะไข่ดิบ ไข่ต้ม ไข่เจียว ก็ให้โปรตีนประมาณ 6 กรัม (แต่ให้พลังงานมากน้อยต่างกัน) ถ้าเป็นไข่เป็ด จะให้โปรตีน 15 กรัม
         7. เมล็ดธัญพืช : เมื่อความเครียดมาเยือน ร่างกายนำสารอาหารหลายชนิดที่สะสมไว้ ไปใช้ในการสร้างฮอร์โมน เพื่อช่วยในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ และขับสารอาหารบางชนิดออกทางปัสสาวะมากขึ้นด้วย ร่างกายจึงมีความต้องการสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น หากความเครียดสะสมเป็นเวลานาน ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะอ่อนแอ ทำให้เจ็บป่วยง่าย สารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้นยามนี้คือ 'วิตามินบี' ชนิดต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงต่อการส่งสัญญาณของประสาททุกชนิด แหล่งวิตามินบีสำคัญก็คือ ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ถั่วเหลือง ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดธัญพืชต่างๆ นั่นเอง

          8. ขี้เหล็ก : คนไทยโบราณประจักษ์สรรพคุณต้นขี้เหล็กมานาน นำใบและดอกมาแกงรับประทาน เป็นยาระบายได้ดี ความจริงก็คือใบขี้เหล็กมีสาร บาราคอล (Baracol) ที่มีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับง่ายและยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีปัญหาหลับยากและปัญหาระบบขับถ่าย ทั้งระบายท้องทั้งระงับประสาท จึงเหมาะสำหรับรับประทานเป็นอาหารแก้เครียดขนานหนึ่ง


9. เสาวรส : มีทั้งแบบเปลือกสีม่วงและสีเหลือง ชื่อสากลรู้จักกันในนาม Passion Fruit ผลไม้ชนิดนี้รสเปรี้ยว แต่เป็นรสเปรี้ยวที่มีเจือไว้ด้วยสาร ธีโอโบรมีน (Theobromine) ซึ่งเป็นอนุพันธ์หนึ่งในกลุ่มกาเฟอีน มีผลในการช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะและร่างกายส่วนต่างๆ ได้ทั่วถึง จึงรู้สึกผ่อนคลาย กระปรี้กระเปร่า
       
          10. ลูกยอ : พืชชนิดนี้ใช้ได้ทั้งผลอ่อน ผลสุก และใบ ล้วนมีสรรพคุณเชิงสมุนไพรเกี่ยวกับการบำรุงสมองและการไหลเวียนของเส้นเลือดในสมอง ส่งผลให้มีสมาธิดีและมีความจำที่ดีขึ้น วิธีรับประทานคือนำลูกยอไปฝานเป็นแว่นๆ ตากแดดให้แห้งสนิท ใส่ลงในแก้วน้ำ เทน้ำร้อนตามแล้วดื่มได้ทันทีแบบจิบทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง ได้ผลดีกว่าดื่มรวดเดียว

นอกจากอาหาร 10 ประเภทข้างต้น อ.จักราวุธ ภู่เสม ยังแนะนำวิธีเรียบง่ายโดยให้ลองดื่ม น้ำเปล่า ซึ่งน้ำต้องเป็นอุณหภูมิปกติ ไม่เย็นจนเกินไป การดื่มน้ำเปล่าช่วยลดอุณหภูมิส่วนเกินของร่างกายได้ เพราะในช่วงที่เกิดความเครียดนั้น ระบบต่างๆ ของร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งเกิดจากการทำงานของเซลล์ และเซลล์ก็จะปล่อยสารเคมีต่างๆ ออกมา ทำให้เลือดมีแร่ธาตุต่างๆ ในปริมาณที่สูง ทำให้เลือดข้น นอกจากน้ำเปล่าแล้วก็ยังมี โกโก้ร้อน (อุ่นเกือบร้อน) เพราะในโกโก้นั้นมีสาร Phenylethylamine มีฤทธิ์คล้ายกับสาร Endorphin ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย และมีความสุข

                    การรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่า ประกอบกับแนวคิดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแขนงอื่นๆ ช่วยให้ร่างกายเสื่อมถอยช้าลง ซึ่งน่าจะลดความเครียดได้เป็นอย่างดี

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

อาหารบำรุงหัวใจ

สำหรับเรื่องการบำรุงหัวใจของคนเรานั่นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักดูแลรักษาหัวใจของเราให้ไม่บาดเจ็บนะค่ะ เปรียบเสมือนว่า หัวใจที่ดี ก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรงไปด้วย มาดูอาหารที่บำรุงหัวใจกันค่ะ ....

 

7 เมนู อาหารบํารุงหัวใจ

1. บลูเบอร์รี่ (Blueberry)

ผลไม้ลูกเล็กสุดฮิตที่ไม่ได้มีดีแค่สีสันน้ำเงินเข้มและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น จากงานศึกษาเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของบลูเบอร์รี่พบว่า วิตามิน C และวิตามิน E และคุณสมบัติเด่นที่สุดในการด้านโรคร้าย นั่นคือมีสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านโรคมะเร็ง โรคที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงมากมายต่อสุขภาพ หนึ่งในนั้นซึ่งเรากำลังโฟกัสอยู่ก็คือ โรคหัวใจ โรคที่เกี่ยวโยงมากมายต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น หัวใจ การหายใจ การหมุนเวียนเลือดหรือแม้แต่เกี่ยวข้องกับความเครียด ซึ่งบลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ นั่นหมายความว่าคุณสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหัวใจให้ใสปิ๊งได้ด้วยการรับประทานบลูเบอร์รี่



2. ข้าวโอ๊ต (Oatmeal)
ข้าวโอ๊ตแม้จะไม่ใช่อาหารหลักของคนไทยเท่าไหร่นัก แต่หากคุณกำลังมองหาอาหารเสริมเติมความแข็งแรงให้กับหัวใจแล้วล่ะก็บางทีนี่อาจเป็นเมนูใหม่ที่น่าลอง เพราะคุณประโยชน์ที่มาจากเมล็ดข้าวโอ๊ตมีครบครันไม่ว่าจะเป็น จมูกข้าวโอ๊ต น้ำมันข้าวโอ๊ต หรือแม้แต่ตัวของรำข้าวโอ๊ตซึ่งประกอบด้วยเส้นใยไฟเบอร์ทั้ง 2 ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อการลดไขมันชนิดเลวที่จ้องทำร้ายหัวใจของคุณ วิตามินซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานผู้ต้องการคุมน้ำหนักและผู้ที่เป็นโรคหัวใจ

3. อัลมอนด์ (Almonds)


ธัญพืชยอดฮิตรสอร่อยที่นิยมทั้งนำมาทำอาหารคาว อาหารหวาน ขนมทานเล่นหลายหลายชนิดมีประโยชน์หลัก ๆ ที่ไม่จิ๋วตามตัวเลย ตัวอย่างง่าย ๆ อัลมอนด์ 1 เมล็ดนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบกับชาเขียว 1 แก้วเลยทีเดียว และไขมันดีที่มีปริมาณที่สูงต่อหนึ่งเมล็ดยังเป็นไขมันชนิดดีที่คอยจัดการลดไขมันชนิดเลวก่อนจะก่อให้เกิดความอ้วนและโรคจากความอ้วนอย่างโรคหัวใจอีกด้วย


4. โยเกิร์ต (Yogurt)

ทราบหรือไม่ว่าประโยชน์อันหลากหลายที่เราเคยเข้าใจเกี่ยวกับอาหารสุขภาพอย่างโยเกิร์ตมีอีกบทบาทก็คือ การต่อต้านและป้องกันโรคหัวใจเพราะสารอาหารอย่างกรดคอนจูเกตเด็ด ไลโนเลอิก (CLA) มีคุณสมบัติลดการสะสมของไขมัน ช่วงเพิ่มกลไกการเผาผลาญ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อย่างดี


 

5. น้ำ (Water)


แน่นอนว่าน้ำเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์และที่สำคัญมากกว่าความใสสะอาดก็มีมากมาย ไม่ว่าการมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของร่างกายมีส่วนสำคัญต่อทุก ๆ อวัยวะของร่างกาย ไม่ว่าตับ ไต ผิวหนัง สมอง รวมถึงหัวใจ ซึ่งหากรักษาสมดุลองน้ำ ดื่มน้ำปริมาณที่เหมาะสมและพอเพียงคุณสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ 54 เปอร์เซ็นต์ ลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจได้ 41 เปอร์เซ็นต์

 

 

6. เกรฟฟรุต (Grapefruit)

ผลไม้อีกชนิดที่คุ้นเคยกันดีในฐานะญาติสนิทกับส้มที่อุดมไปด้วยประโยชน์เช่นเดียวกันคือ วิตามินซีสูง และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดไขมัน ดลความเสี่ยงโรค ลดความดันโลหิต ซึ่งเมื่อลดความเสี่ยงที่ไม่ดีต่อสุขภาพเหล่านี้ หัวใจที่แข็งแรงจะไปไหนเสียดังนั้นสนิทกับเกรฟฟรุตไว้ดีกับหัวใจ

 

7. ไข่ (Eggs)


"เนื้อ นม ไข่" เรารู้กันดีตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่า ไข่ คืออาหารประเภทหนึ่งที่มีประโยชน์หลายด้านต่อสุขภาพร่างกายของคนเรา ไม่ว่าโปรตีน คาร์โบไฮเดรต รวมถึงสารอาหารที่สุดพิเศษอยู่ในไข่ขาว และไข่แดง ซึ่งแม้ว่าการศึกษาและความเชื่อจะมีความขัดแย้งกันเสมอ ๆ ว่าเราควรรับประทานไข่หรือไม่ ซึ่งท้ายที่สุดความเชื่อเดิมในวัยเด็กก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เพราะไข่แดงและไข่ขาวในงานวิจัยอุดมไปด้วยประโยชน์ที่เสริมความแข็งแรงและบำรุงหัวใจโดยเฉพาะลูทีนที่ช่วยให้เส้นเลือดหัวใจแข็งแรง ป้องกันการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

5 เมนูสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

สำหรับบล็อกนี้มีไว้สำหรับผู้ที่ต้องสรรหาอาหารสำหรับคนป่วย จากประสบการณ์ที่ได้ไปเฝ้าผู้ป่วยในโรงพยาบาลนานพอสมควร จึงเห็นว่าน่าจะนำมาให้ผู้ที่กำลังมองหาอาหารแต่ยังไม่รู้จะทำอะไรดีให้ผู้ป่วยทานคะ เพราะเจ้าของบล็อกก็เจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เอาอะไรให้คนป่วยทานก็ไม่อร่อย เบื่อไปหมด ต้องเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ กันเบื่อ แต่ก็หาเมนูยากมากๆ มาดูเมนูแรกกันเลยค่ะ
       1. ต้มยำเห็ดสด
- เห็ดฟางผ่าครึ่ง 10 ดอก
- ตะไคร้ 2 ต้น (หั่นตามรูป)
- ใบมะกรูด 6 ใบ (ฉีกแล้ว)
- หัวหอม 2 หัว (ตบพอแตก)
- ข่า (หั่นบาง)
- มะเขือเทศ 1 ลูก (หั่นเป็น 4 ชิ้น)
- พริกสด 10 เม็ด **
- ผักชีฝรั่ง 1 ต้น
- ซุปก้อน 1 ก้อน ( ไม่มีไม่ต้องใส่ก็ได้ค่ะแต่ให้ใส่เกลือเพิ่ม 1/2 ชัอนชา)
- พริกทอด 5เม็ด (ไม่มีไม่ต้องใส่ก็ได้คะ)
- น้ำปลา 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำเปล่า 5 ถ้วยตวง
วิธีทำ
ตั้งน้ำเปล่าให้เดือด ใส่ซุปก้อน ตามด้วย ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า หัวหอม พริกสด มะเขือเทศ ลงไปต้มรอให้น้ำเดือดจัด พอ น้ำเดือดให้ใส่ น้ำปลา ตามด้วยเห็ดฟาง รอให้เดือดอีกครั้ง ปิดไฟ ใส่ผักชีฝรั่ง พริกทอด น้ำมะนาว ชิมรส ถูกใจแล้วตักใส่ชาม

2. แกงส้มดอกแค

-ปลาช่อน 1 ตัว
-น้ำพริกแกงส้ม 1 ถ้วย
-น้ำเปล่า 1-2 ถ้วย
-ดอกแค (พอประมาณ)
-น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
-น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
-มะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
-น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
-กะปิ 1 ช้อนชา
วิธีทำ1. นำปลาช่อนมาทำความสะอาดขอดเกล็ดตัดหัวออก และหั่นส่วนตัวเป็นชิ้น ๆ หนาประมาณ 1-11/2 นิ้ว
2. ใส่น้ำสะอาดในภาชนะ ปิดฝาให้สนิท ตั้งไฟจนเดือด ใส่ปลาช่อนลงต้มน้ำในหม้อ
3. เมื่อปลาสุกแล้วให้นำส่วนหัว 3 ชิ้นไปโขลกรวมกับน้ำพริกแกงละลายน้ำใส่หม้อ ตั้งไฟให้เดือด ใส่ดอกแคที่เตรียมไว้ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก น้ำมะนาว น้ำตาล ปิดฝาภาชนะให้สนิท ตั้งไฟต่ออีกประมาณ 5 นาที (ปรุงให้มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน) นำมารับประทานขณะร้อน ๆ
ประโยชน์ทางอาหาร
1. น้ำพริกแกงส้ม รสเผ็ดร้อน ช่วยขับลม ช่วยย่อยอาหาร
2. ดอกแค รสหวานออกขมเล็กน้อย แก้ไข้หัวลม
3. มะขามเปียก รสเปรี้ยว ขับเสมหะ แก้ท้องผูก แก้ไอ ลดความร้อนในร่างกาย
4. มะนาว เปลือกผลรสขมช่วยขับลม น้ำในลูกรสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต

คุณค่าทางโภชนาการ
แกงส้มดอกแคแก้ไข้หัวลม มีประโยชน์และคุณค่ามากมาย เช่น รสเปรี้ยวของแกงส้มบำรุงธาตุน้ำ รสเผ็ดของน้ำแกงบำรุงธาตุลม ดอกแคมีก้านเกสร รสขม แก้ไข้ ซึ่งการที่จะมุ่งประโยชน์ในการปรับธาตุใดนั้นให้ปรุงรสเน้นไปตามธาตุนั้น

3.ยำมะระ
วัตถุดิบ:
1. มะระจีน 1 ถ้วย
2. กุ้งแกะเปลือกผ่าหลังเอาเส้นดำออก ตามชอบ
3. เนื้อหมูจะใช้หมูสับหรือหมูหั่นเป็รนชิ้นก็ได้ ¼ - 1 /2 ถ้วย
4. พริกขี้หนูซอย (ถ้าชอบเผ็ดมากใช้พริกขี้หนุตำ) 1 ช้อน
5. น้ำมะนาว ¼ ถ้วย
6. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนการทำ
1. มะระจีนควักเอาไส้ออก หั่นตามขวางบางๆแล้วนำมาขยำกับเกลือ
2. บีบๆเอาน้ำขมออกแล้วล้างน้ำเปล่าสะเด็ดน้ำไว้ กุ้งและหมูเอาไปลวกให้สุก
3. ผสมพริกขี้หนู น้ำมะนาว น้ำตาล น้ำปลา คนให้ส่วนผสมทั้งหมดละลายและเข้ากันดี
4. ใส่มะระ กุ้งลวกสุกและเนื้อหมูลวกสุกลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากันตักใส้จาน

4.แกงเลียงรวมมิตร
แกงเลียง จัดเป็นเมนูสุขภาพที่คนภาคกลางนิยมทำกิน จุดเด่นคือ ทำง่าย อร่อยที่กินได้โดยไม่ต้องกลัวอ้วน เพราะในน้ำแกงอุดมไปด้วยเครื่องเทศสมุนไพรรสร้อนแรง อีกทั้งผักที่เป็นส่วนประกอบหลัก ก็ไม่ตายตัว เลือกใส่ได้ตามฤดูกาล และตามใจชอบ
เริ่มต้นเตรียมผัก
เช่น ใบตำลึง ยอดฟักทอง ยอดมะระเด็ดสั้นๆ ฟักทองหั่นพอคำเอาเปลือกไว้ ข้าวโพดอ่อนหั่น หรือข้าวโพดฝักเอาเฉพาะเมล็ด บวบปอกเปลือกหั่น กุ้งสดผ่าเอาเปลือกออก ปลาย่างป่นใหม่ๆ
เตรียมเครื่องแกง
ตะไคร้หั่นฝอย กระชาย หอมแดงหั่น กะปิอย่างดี ใส่ครกตำละเอียด อย่าลืมใส่ปลาป่นลงไปด้วย
ละลายเครื่องแกงลงไปในหม้อ พร้อมน้ำสะอาดแต่อย่าเยอะ เผื่อน้ำที่ออกจากผักตอนต้มด้วย
ใส่ผักที่เตรียมไว้ลงไป รอจนน้ำเดือด ใส่กุ้งสด เหยาะน้ำปลาเล็กน้อย ปรุงรสตามชอบขาดไม่ได้คือใบแมงลัก คนชอบเผ็ดใส่พริกไทยป่นลงไปได้เล็กน้อย เมนูนี้ต้องหอมปลาป่น น้ำแกงหอมผัก รสชาติเค็มเล็กน้อย เผ็ดนิดๆ ถึงจะกลมกล่อม
เคล็ดลับ ถ้าชอบน้ำใสให้ใช้ไฟอ่อน ชอบน้ำข้นต้องเร่งไฟแรงๆ